สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงเวลลิงตัน ประเทศนิวซีแลนด์ เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. ว่า รัฐบาลนิวซีแลนด์ล้มเลิกผลักดันร่างกฎหมายยกเลิกการห้ามสำรวจปิโตรเลียมฉบับใหม่ ที่แหล่งน้ำมันบนบกบางแห่งในเกาะเหนือของประเทศ ซึ่งมีการหารือกันมานานถึง 5 ปี และก่อให้เกิดการคัดค้านอย่างหนัก จากฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองและกลุ่มสิ่งแวดล้อม

นายเชน โจนส์ รมว.ทรัพยากร อ้างว่า คำสั่งห้ามดังกล่าว ขัดขวางการลงทุนระหว่างประเทศ และทำให้ความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศเสียหาย “ก๊าซธรรมชาติมีความสำคัญอย่างยิ่ง ต่อการทำให้พลังงานและเศรษฐกิจของเราดำเนินต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด” โจนส์ระบุในแถลงการณ์ “รัฐบาลชุดก่อนประกาศห้ามการสำรวจ เมื่อปี 2561 ส่งผลให้การลงทุนในการพัฒนาแหล่งก๊าซลดลง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้งานในปัจจุบัน”

น.ส.โคลอี สวาร์บริก ผู้นำร่วมของพรรคกรีนส์ กล่าวว่า รัฐบาลกำลัง “ทำให้น้ำมันและก๊าซส่งผลต่อวิกฤติการณ์สภาพภูมิอากาศ” เธอกล่าวว่า “เราสามารถมีเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่ต่อต้านมัน”

ทั้งนี้ โจนส์กล่าวว่า การระงับดังกล่าว จะเป็นส่วนหนึ่งของ “ร่างกฎหมายรอเสนอ” ที่ออกแบบมาเพื่อจุดประกายการลงทุน โดยระบุว่าภาคปิโตรเลียมและแร่ธาตุมีส่วนสนับสนุนผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) มูลค่า 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (44,136 ล้านบาท) เมื่อปี 2563-2564 และให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า รัฐบาลวางแผนผ่อนคลายข้อบังคับการยื่นคำขอสำรวจปิโตรเลียม

การประกาศดังกล่าวมีขึ้นหนึ่งวัน หลังประชาชนหลายพันคนออกมาประท้วง เพื่อคัดค้านโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลอีกโครงการหนึ่ง ซึ่งร่างกฎหมาย “ที่ผ่านการอนุมัติแบบเร่งด่วน” จะอนุญาตให้ข้ามกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมหลายประการได้ และกระบวนการยินยอม จะเร่งเวลาให้กับโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES