เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ทีมเฉพาะกิจ พญาเสือ กรมอุทยานฯ เข้าตรวจสอบพื้นที่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองพระยา จ.กระบี่ พบมีการบุกรุกพื้นที่ป่ากว่า 200 ไร่ พบหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์ฯ มีเอี่ยวบุกรุกที่ป่านั้น ว่า ล่าสุด ได้ให้นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.สำนักอุทยานฯ เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายโสภณ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์ฯ ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ บุกรุกพื้นที่ป่า ที่สถานีตำรวจภูธร จ.กระบี่ 

“ส่วนที่หลายคนในโซเชียลพากันบ่นว่า ทำผิดขนาดนี้ทำได้แค่ย้ายเองหรือ ขอชี้แจงว่า ในระเบียบราชการนั้น ตามขั้นตอนต้องทำแบบนี้ ซึ่งการสั่งย้ายนั้นเป็นวิธีการลงโทษที่รุนแรงที่สุดในเบื้องต้นแล้ว หากเป็นเรื่องที่ไม่รุนแรงนั้น แค่ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงแล้วดำเนินการตามขั้นตอนความผิดเท่านั้น ส่วนเรื่องนี้เมื่อย้ายแล้ว ตั้งคณะกรรมการสอบแล้ว ในทางคดีอาญา ก็ดำเนินการไป” อธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าว

นายอรรถพล กล่าวว่า จากการตรวจสอบ พบว่าบริเวณพื้นที่ที่นายชัยวัฒน์ และทีมพญาเสือเข้าไปตรวจสอบนั้น ถูกแผ้วถาง เนื้อที่ประมาณ 10.39 ไร่ และพบตอไม้เพิ่งถูกตัดโค่นใหม่กระจายอยู่ทั่วในพื้นที่ เพื่อที่จะปลูกต้นปาล์มน้ำมัน โดยในขณะที่พนักงานเจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบพื้นที่อยู่นั้น พบบุคคลเพิ่มเติมในพื้นที่ จำนวน 2 คน ทราบชื่อภายหลังว่า ชื่อ นางอำนวย และนางจุทามาศ (สงวนนามสกุล) ซึ่งรวมทั้ง 3 คน ได้เข้ายึดถือ ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว โดยไม่มีเอกสารสิทธิใดๆ และอ้างว่าเป็นพื้นที่ทำกินดั้งเดิม แต่ทิ้งร้างไม่ได้เข้าทำประโยชน์มามากกว่า 20 ปี และได้กลับมาแผ้วถางพื้นที่ดังกล่าว เป็นเวลา 2 เดือน อีกทั้งยังอ้างว่าได้รับอนุญาตเข้าทำประโยชน์จากหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์ฯ คนปัจจุบันแล้ว และหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์ฯ ได้เข้ามาตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าวแล้ว ตนจึงคิดว่าพื้นที่ดังกล่าว สามารถเข้าทำประโยชน์และปลูกปาล์มน้ำมันได้

“คณะเจ้าหน้าที่ฯ จึงได้ร่วมกันตรวจวัดพื้นที่บุกรุก ได้เนื้อที่ประมาณ 10.39 ไร่ ซึ่งอยู่ในแนวเขตรักษาพันธุ์ฯ รวมถึงซ้อนทับกับป่าสงวนแห่งชาติป่าปลายคลองพระยา ตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกา มาตราส่วน 1:50,000 และตรวจสอบกับภาพถ่ายทางอากาศออร์โธสี ปี 2545 และภาพถ่ายดาวเทียม ปี 2564 พบว่าพื้นที่ดังกล่าว ยังคงมีสภาพเป็นป่าธรรมชาติสมบูรณ์ ไม่ปรากฏร่องรอยการทำประโยชน์มาก่อน เป็นเหตุให้คณะเจ้าหน้าที่ฯ ตรวจยึดพื้นที่ และของกลางอุปกรณ์ในการกระทำความผิด จำนวน 4 รายการ คือ รถกระบะบรรทุกกล้าปาล์มน้ำมัน, กล้าปาล์มน้ำมัน 22 ต้น, มีดพร้า 2 ด้าม และจอบ 2 ด้าม และได้ทำบันทึกจับกุม พร้อมนำตัวทั้ง 3 คน ส่ง สภ.ปลายพระยา เพื่อดำเนินคดีต่อไป” อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ กล่าว

นายอรรถพล กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ได้ทำการขยายผลไปยังอีกแปลงที่มีการร้องเรียนว่า มีการบุกรุก แผ้วถางป่า เนื้อที่ 20 กว่าไร่ ซึ่งดำเนินการโดยนายมงคล เช่นกัน จึงได้นำตัวนายมงคล ไปยังแปลงบุกรุก พร้อมแสดงหลักฐานการร้องเรียน และนายมงคลจำนนต่อหลักฐาน โดยได้ยอมรับว่าตนเป็นผู้บุกรุกแผ้วถางป่า แปลงดังกล่าวจริง แต่ตนบุกรุก แผ้วถางแค่ 4 ไร่ ไม่ได้บุกรุกทั้งหมด เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งความบุกรุกแผ้วถางป่าแก่นายมงคล อีกแปลงเพิ่มเติม 

“นายชัยวัฒน์ รายงานว่า จากการสืบสวนขยายผล ทราบว่านายมงคล เป็นคนกว้างขวาง มีอิทธิพลในพื้นที่ และได้มีการเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์จากพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ และมีความเชื่อมโยงเกี่ยวพันกับหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์ฯ ซึ่งแม้ว่า ตอนแรกนายมงคลจะปฏิเสธว่าไม่เคยติดต่อ และไม่รู้จักนายโสภณ แต่จากการตรวจสอบโทรศัพท์แล้วพบว่า ใน 1 เดือน มีการโทรศัพท์พูดคุยกันมากกว่า 200 ครั้ง โดยคาดว่าน่าจะมีผลประโยชน์ร่วมกัน รวมถึงทราบอีกว่า มีการจ่ายเงินเพื่อเข้าไปดำเนินการบุกรุก แผ้วถางพื้นที่ป่าด้วย” นายอรรถพล กล่าว

นายอรรถพล กล่าวว่า จากการตรวจสอบ ยังพบว่ากลุ่มขบวนการดังกล่าว ยังมีพฤติกรรมการข่มขู่เอาชีวิตกับผู้แจ้งเบาะแสด้วย.