เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 67 รศ.ดร.นพ.ธวัชชัย กมลธรรม ประธานหลักสูตรกัญชาเวชศาสตร์และสมุนไพรทางการแพทย์ วิทยาลัยสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา และอดีตอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก  กล่าวถึงกรณีที่มีความพยายามนำกัญชากลับเป็นยาเสพติด ว่า เรื่องการแพทย์น่าจะไปต่อได้ แต่การเข้าถึงบริการไปจนถึงการให้บริการมีปัญหาแน่นอน ขั้นตอนการดำเนินการต่างๆ มีความวุ่นวาย ทำให้คนที่จะมาบริการ ไปจนถึงรับบริการน้อยลง ที่ต้องการเห็นคือประชาชนสามารถใช้กัญชาเป็นส่วนหนึ่งในการพึ่งพาตนเองด้านสุขภาพ เป็นสิทธิของประชาชนในการรักษาแบบประคับประคอง ต่อมาความเชื่อมั่นในเรื่องการลงทุนก็จะเสียไป ต่างชาติจะมองว่าเราเป็นประเทศที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ไม่น่าลงทุน ตลาดหุ้นได้รับผลกระทบ การที่เราจะเป็นผู้นำด้านกัญชาจะเสียไปทันที เราเริ่มต้นเรื่องนี้มา 6 ปี และเราจะให้กัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจ เรารู้จักกัญชามากขึ้น ภูมิปัญญาที่ก้าวหน้าก็จะหยุดลง เรื่องเศรษฐกิจ คนที่ลงทุนจะไปต่ออย่างไร ต้องล้มละลายหรือไม่ ไหนจะคนตกงาน ถ้าเอากลับเป็นยาเสพติด จะมีคนทำผิดจำนวนมาก กัญชาจะกลับไปอยู่ใต้ดิน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้ไม่ใช่ว่าเอากลับไปเป็นยาเสพติดแล้วมันจะจบเลย มันมีเรื่องมากมายให้ต้องตามแก้ พรรคที่เอากลับไปเป็นยาเสพติดจะเสียคะแนน ส่วนกลุ่มนักลงทุนน่าจะมีการฟ้องร้องเกิดขึ้น

รศ.ดร.นพ.ธวัชชัย กล่าวว่า กัญชา ขอให้มองเป็นสมุนไพร อย่าไปมองเป็นยาเสพติด มีประโยชน์ ต้องใช้ มีโทษต้องคุม กัญชาช่วยคลายเครียด ช่วยให้นอนหลับ แก้ปวด ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยระยะสุดท้ายดีขึ้น นี่คือทางเลือกของประชาชน ส่วนตัวเคยเจอผู้ที่ป่วยหนัก รักษาด้วยแพทย์สมัยใหม่แล้วไม่หาย หมอให้กลับไปรอวาระสุดท้ายอยู่บ้าน มาหาตน ตนใช้กัญชาเป็นส่วนหนึ่งในการรักษา มันก็ลดความทรมานของผู้ป่วย แล้วกัญชาช่วยในการเลิกยาเสพติดหลายชนิด ช่วยในการเลิกเหล้า เลิกบุหรี่ แก้ฤทธิ์ยาบ้า ในประเทศไทยคนที่ใช้กัญชามากที่สุดคือคนวัยทำงาน ไม่ใช่วัยรุ่น ที่มีอาการเจ็บป่วยร่วม ส่วนเด็กใช้กัญชาแล้วสมองเสื่อม เป็นเพราะเด็กใช้กัญชาอย่างเดียวหรือใช้ผสม หรือเสื่อมมาก่อน จากข้อมูล กัญชาคือปลายทางแล้ว สถิติชัดเจน เด็กเข้าถึงกัญชามันเกิดขึ้นแน่นอน เพราะเข้าถึงง่าย แล้วอะไรทำให้เข้าถึงง่าย จะมีการออกพระราชบัญญัติ แล้วทำไมออกไม่ได้

“ถ้าเอากัญชากลับเป็นยาเสพติด ตนไม่เห็นด้วย เรื่องนี้ที่ผ่านมารัฐบาลทำมาดีแล้ว ขั้นตอนถูกต้อง มีความพยายามจะออกกฎหมายมาควบคุม พร้อมกับส่งเสริมให้เป็นพืชเศรษฐกิจ แต่ถ้าเอากลับไปเป็นยาเสพติด ทุกอย่างคือจบ ใครแตะต้องกัญชา เท่ากับผิดกฎหมายหมด จะไปดูแลตัวเองก็ไม่ได้ จริงๆ เราควรให้สังคมเรียนรู้ที่จะใช้ให้เป็นประโยชน์ และเรียนรู้ที่จะเข้าใจโทษของกัญชา ต่างประเทศ ศึกษาวิจัยเรื่องกัญชาไปไกลมาก เขามองเห็นโอกาส แต่เรากำลังจะปิดหูปิดตาประชาชน แล้วเราก็จะล้าหลัง นี่คือจุดที่เราต้องเดินนำบ้างแล้ว” รศ.ดร.นพ.ธวัชชัย  กล่าว

รศ.ดร.นพ.ธวัชชัย กล่าวว่า ตนเชื่อว่ากระทรวงสาธารณสุข มีข้อมูลเรื่องกัญชามากพอ การเอาออกมาจากความเป็นยาเสพติด ไม่ใช่เรื่องง่าย ข้อมูลต้องแข็งมาก การคลายล็อกกัญชา มันไม่ได้เริ่มจากการเมือง มันมาจากยุคหมอปิยะสกล (ศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร) สมัยที่ท่านเป็นรัฐมนตรี ท่านตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 5 ชุด เพื่อศึกษา และท่านเห็นว่าทั่วโลกไปไกล เราต้องตามให้ทัน จึงสนับสนุนทางกระทรวง ให้เข้ามาดูเรื่องกัญชาอย่างจริงจัง ให้ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้ในหลายๆ มิติ การเอากลับมาเป็นยาเสพติด ผมว่ามันเป็นการเมือง สมัย อ.ปิยะสกล มีการอบรมแพทย์ และแพทย์แผนไทย เกิดคลินิกกัญชามีการทำวิจัย เอาเข้าจริง กฎหมายประมวลยาเสพติดฉบับใหม่นี้ ก็เปิดกว้างให้เอากัญชาออกมาจากยาเสพติด ทุกอย่างเพื่อให้ได้ใช้ประโยชน์จากกัญชาอย่างเต็มที่ แล้วพอมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล  รมว.สาธารณสุข  ในขณะนั้นเข้ามา ท่านมาต่อยอด ให้มันเปิดกว้างมากขึ้น ต่อมามีการจะออก พ.ร.บ.กัญชา กัญชง แล้วก็มีการเล่นการเมืองกัน คนที่เสียประโยชน์คือประชาชน

รศ.ดร.นพ.ธวัชชัย กล่าวว่า ตนมีข้อเสนอแนะ 3 ข้อ ดังนี้ 1.ไม่นำกัญชากลับเป็นยาเสพติด 2.เสนอให้ “กัญชา” นั้นควรอยู่ภายใต้พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ที่กำลังนำเสนอสู่สภา เทียบเท่า พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ และพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แทนที่จะนำกลับมาเป็นยาเสพติด เพื่อความเป็นธรรมในสังคม 3.เสนอให้ความรู้แพทย์และประชาชนและเกิดวิชาชีพใหม่ ตัวอย่างเช่น กัญชาเวชศาสตร์ ที่จะดูแล ใช้กัญชาตามกฎหมายและองค์ความรู้ที่ถูกต้อง.