เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2567 ที่รัฐสภา นายยุทธพร อิสรชัย อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวถึงเหตุการณ์ทางการเมืองที่มีหลายคดีรุมเร้ารัฐบาลชุดนี้ โดยเฉพาะคดีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และคดีมาตรา 112 ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะนำไปสู่การเปลี่ยนขั้ว สลับข้างในอนาคต หรือมีเหตุต้องลงถนน หรือไม่ว่า ตนคิดว่าตัวชี้วัด หรือจุดเปลี่ยนที่สำคัญนั้น อยู่ที่คดีของ นายเศรษฐา ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะออกมาในรูปแบบไหน ถ้าออกมาในลักษณะที่นายเศรษฐาได้ไปต่อ เรื่องนี้ก็จะบรรเทาเบาบางสถานการณ์ที่ตึงเครียดให้กับรัฐบาลพอสมควร แต่ถ้าออกมาในลักษณะไม่ได้ไปต่อ สิ่งที่จะเกิดผลกระทบอันแรก คือคณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งไปพร้อมกับนายกรัฐมนตรีด้วย ซึ่งก็จะนำมาสู่การเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ ซึ่งแคนดิเดตที่มีอยู่ในวันนี้เพียงไม่กี่ท่านเท่านั้น ถ้าไม่มีการยุบสภาเกิดขึ้นเสียก่อน

“เมื่อแคนดิเดตนายกฯ เหลือเพียงไม่กี่ท่าน โอกาสจะเกิดการสลับขั้ว ย้ายขั้ว ข้ามขั้ว มีโอกาสเกิดขึ้นได้ทั้งหมด และก็อาจนำไปสู่ผลกระทบเสถียรภาพทางการเมืองก็ได้ ซึ่งคือตัวชี้วัดแรก ที่จะต้องดูในคดีของนายเศรษฐา ว่าจะชี้ทิศทางเสถียรภาพรัฐบาลอย่างไร ส่วนเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคดีของนายทักษิณ หรือการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายต่างๆ ของรัฐบาลไม่ได้เป็นประเด็นหลักส่งผลในระยะสั้นมากนัก” นายยุทธพร กล่าว

ส่วนกรณีที่นายเศรษฐา แต่งตั้ง นายวิษณุ เครืองาม เป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี มีโอกาสที่จะเป็นปาฏิหาริย์ทางการเมือง หรือ รอดจากคดีที่ 40 สว.หรือไม่นั้น ว่า  กรณีที่นายวิษณุ เข้ามา หลายคนตั้งคำถาม แต่ในแง่ของความรู้และความสามารถไม่มีใครตั้งข้อสงสัย แต่ที่เขาสงสัยคือสิ่งที่นายวิษณุมีมากกว่านักกฎหมายคนอื่นคืออะไร การสร้างปาฏิหาริย์ทางกฎหมาย หรือการรู้จักมักคุ้นกับผู้คนมากมาย เนื่องจากนายวิษณุอยู่มากว่า 10 รัฐบาล

“ฉะนั้นท้ายที่สุดแล้วจะเป็นผลบวก หรือลบต่อคดีของนายเศรษฐา ผมไม่มั่นใจว่าจะเป็นผลบวกเพียงอย่างเดียวหรือไม่ เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นได้ทุกรูปแบบ” นายยุทธพร กล่าว.