สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. ว่า นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ปราศรัยที่กรุงนิวเดลี เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ประกาศชัยชนะของพรรคภารติยะ ชนตะ (บีเจพี) จากการที่เลือกตั้งทั่วไปซึ่งเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 19 เม.ย.-1 มิ.ย. ที่ผ่านมา คือความชอบธรรมที่ประชาชนมอบให้แก่พรรคบีเจพี “และพันธมิตร” ในการเป็นรัฐบาลสมัยที่สามติดต่อกัน พร้อมทั้งให้คำมั่นเดินหน้านโยบายที่ค้างคา และดำเนินการตามคำมั่นสัญญาใหม่ในช่วงหาเสียง เพื่อการพัฒนาประเทศ

มวลชนฝ่ายสนับสนุนพรรคบีเจพี รวมตัวเฉลิมฉลอง ณ ที่ทำการพรรค ในกรุงนิวเดลี


แม้ชัยชนะสมัยที่สามของพรรคบีเจพี ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายของทุกฝ่าย และหมายความว่า โมดี วัย 73 ปี จะอยู่ในตำแหน่งผู้นำรัฐบาลต่อไป หลังดำรงตำแหน่งสมัยแรก เมื่อปี 2557 อย่างไรก็ตาม ผลการนับคะแนนอย่างเป็นทางการโดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ปรากฏว่า พรรคบีเจพีได้รับเลือกตั้ง 240 จาก 543 ที่นั่งในโลกสภา หรือสภาผู้แทนราษฎร ลดลง 63 ที่นั่ง จากการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 และต่ำกว่าเป้าหมายของพรรคที่ตั้งไว้ราว 300 ที่นั่ง จากการเลือกตั้งครั้งนี้

AFP


ยิ่งไปกว่านั้น จำนวนที่นั่งของพรรคบีเจพีจากการเลือกตั้งครั้งนี้ น้อยกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของการครองเสียงข้างมากในโลกสภา คืออย่างน้อย 272 ที่นั่ง เท่ากับว่า พรรคบีเจพีต้องจัดตั้งรัฐบาลผสม

นายราหุล คานธี


ขณะที่พรรคคองเกรสของนายราหุล คานธี ได้รับเลือกตั้งเป็นอันดับสอง 99 ที่นั่ง เพิ่มขึ้นมากถึง 47 ที่นั่ง จากการเลือกตั้งเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ด้านคานธีแสดงความพึงพอใจกับจำนวนที่นั่งที่ได้รับ และกล่าวว่า ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ “คือบทลงโทษ” ที่ชาวอินเดียมอบให้กับพรรคบีเจพี


ด้านสถิติผู้ออกมาใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งครั้งนี้ อยู่ที่ราว 642 ล้านคน จากจำนวนผู้มีสิทธิออกเสียงราว 968 ล้านคน คิดเป็น 66.3% ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับการเลือกตั้งในปี 2562 ซึ่งสถิติผู้ออกมาลงคะแนนอยู่ที่ 67.4%


อนึ่ง บรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า ปัจจัยสำคัญซึ่งส่งผลให้พรรคบีเจพีทำผลงานได้ไม่ดีตามที่หวัง เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ และนโยบายปฏิรูปหลายอย่าง ที่มีเรื่องเชื้อชาติและศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงกระทบกับการตัดสินใจของชาวอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีความเป็นพหุสังคมในระดับสูง.

เครดิตภาพ : AFP