เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวพรรคเพื่อไทยเตรียมผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรม เหมาเข่งคดี 112 ซึ่งรวมถึงคดีของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะส่งผลดีหรือผลเสียต่อการนิรโทษกรรมคดีของกลุ่มเยาวชน  ว่า ต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า พอนายทักษิณ ถูกอัยการสูงสุดสั่งฟ้องในคดี 112 มันทำให้การเสนอหรือยื่นเรื่องนิรโทษกรรมคดีทางการเมืองให้พิจารณา รวมถึงความผิดในคดีมาตรา 112 ด้วยนั้น ยากขึ้นแน่นอน ซึ่งเรื่องนี้ตนเคยให้ความเห็นไปบ้างแล้วก่อนที่จะอัยการจะมีคำสั่งฟ้อง เพราะว่าเรื่องนี้มันจะสุ่มเสี่ยงมากที่จะถูกโยงว่าการผลักดันการนิรโทษกรรมจะเป็นการไปช่วยเหลือนายทักษิณ ซึ่งมีความใกล้ชิดกับพรรคแกนนำรัฐบาล มันยิ่งเพิ่มแรงเสียดทาน จากเดิมที่มีแรงเสียดทานมากอยู่แล้ว จึงเป็นความกังวลว่าสังคมแยกเรื่องนายทักษิณกับเรื่องการนิรโทษกรรมคดีทางการเมืองออกจากกันได้หรือไม่ เพราะตอนนี้เราก็เห็นร่องรอยแล้วว่าเริ่มมีการให้ข้อมูลข่าวสาร วิพากษ์วิจารณ์และโจมตีว่าที่ สส.กำลังผลักดันเรื่องนิรโทษกรรมกันอยู่นั้น สุดท้ายก็คือเพื่อช่วยนายทักษิณหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องน่าลำบากใจ

นายชัยธวัช กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม จุดยืนของเรา เราเห็นด้วยอยู่แล้วกับการนิรโทษกรรมคดีทางการเมืองทั้งหมดทุกฝ่าย และไม่ควรจะยกเว้นมาตรา 112 ด้วย เพราะว่าการนิรโทษกรรมคดีทางการเมืองเราเชื่อว่าจะเป็นก้าวแรกๆ ที่จะเปิดช่องให้คลี่คลายความตึงเครียดทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมืองได้  ซึ่งฝ่ายที่ไม่เคยเห็นด้วยอาจจะมองว่าจะทำให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้น  แต่เท่าที่เราสัมผัสกับประชาชนไม่ว่าจะเคยสังกัดสีเสื้อใด คิดว่าอันนี้จะช่วยคลี่คลายมากกว่า เพราะว่าจะทำให้สภาวะความไม่พอใจหรือเผชิญหน้าต่อกันมันลดลง และสร้างโอกาสทำให้เกิดการหันหน้ามาสื่อสาร ทำความเข้าใจซึ่งกันและกันได้ง่ายขึ้น ในอนาคตมันสามารถจะนำไปสู่ความเห็นร่วมหรือฉันทามติร่วมทางการเมืองอะไรบางอย่างได้

หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า หากมองเช่นนี้หลายคนอาจจะมองว่าผลักดันเท่าที่ได้ไปก่อนได้หรือไม่ ในเรื่องที่จะไม่ถูกต่อต้าน เช่น นิรโทษกรรมให้หมดยกเว้นกรณีที่อาจจะเกิดการต่อต้านเยอะก็คือเรื่อง 112 เอาไว้ก่อน อย่างน้อยให้คนส่วนใหญ่ได้ไป แต่ข้อเสนอนี้เป็นข้อเสนอที่ไม่ได้ยืนอยู่บนสถานการณ์ที่เป็นจริงทางการเมืองในปัจจุบัน เพราะความขัดแย้งเหลืองแดงในอดีตจบไปแล้ว เหลือแต่คดีของแกนนำบางส่วน ซึ่งก็ทยอยจบไปเรื่อยๆ แต่ที่ตึงเครียดกันอยู่แม้จะยังดูจำนวนไม่เยอะ อาจจะหลักร้อย แต่มันเป็นยอดภูเขาน้ำแข็ง และเป็นปมที่สร้างความไม่พอใจในทางการเมืองกันอยู่และรอวันระเบิด ดังนั้นถ้าเราวางเป้าหมายหวังว่าจะให้การนิรโทษกรรมนำไปสู่การคลี่คลายความขัดแย้งทางการเมืองลง เพื่อสร้างกระบวนการบางอย่างในการแสวงหาฉันทามติร่วมกันระหว่างฝ่ายต่างๆ ที่มีความคิดเห็นแตกต่างกัน การเอา 112 ออกไปก่อนจึงไม่ตอบโจทย์ ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับคนที่ถูกกล่าวหาตามมาตรา 112 แต่ต้องยอมรับว่ามันเป็นปมอยู่

“เราเชื่อว่าถ้ามีการนิรโทษกรรมเกิดขึ้นรวมคดี 112 ด้วย คนรุ่นใหม่ที่โดนข้อหานี้เยอะที่สุด ผมว่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้เขาทบทวนแนวทางการเคลื่อนไหวเรียกร้องทางการเมืองของเขาได้ อย่าไปมองแค่เพียงว่าถ้านิรโทษกรรมให้เขาแล้ว มันจะยิ่งเป็นการให้ท้ายให้พวกเขารู้สึกว่าไม่หลาบจำ จะไปทำซ้ำอีก ซึ่งผมเข้าใจคนที่กังวลเรื่องนี้ แต่ผมอยากจะชวนมองอีกด้านว่าทำไมไม่มองว่าการนิรโทษกรรมจะเป็นกลไกหนึ่งที่จะดึงฝ่ายต่างๆ ที่อาจจะเริ่มสุดขั้วขึ้นไปเรื่อยๆ กลับมาอยู่ตรงกลางได้และการที่ทิ้งไว้ไม่นิรโทษกรรมให้พวกเขา จะยิ่งเป็นตัวผลักให้แต่ละฝ่ายสุดขั้วมากขึ้นไปอีก เพราะเขาไม่มีทางเลือกอื่น เมื่อไม่มีทางออก ไม่มีรูระบาย สิ่งที่จะเรียกร้องความเป็นธรรมก็คือตะโกนให้ดังขึ้นไปเรื่อยๆ  ซึ่งเรื่องนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นระเบิดเวลาที่ปะทุขึ้นมาอีกเมื่อไร” นายชัยธวัช กล่าว

เมื่อถามย้ำว่าหากนิรโทษกรรมคดีของนายทักษิณรวมไปด้วยจะเป็นไปได้หรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ยากแน่นอน ก็กังวลเหมือนกัน แต่ว่าในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตรา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ตนเข้าใจว่าหลายคนเห็นว่ามันทำให้สิ่งที่กรรมาธิการฯ ทำอยู่มีอุปสรรคมากขึ้น เพียงแต่ว่ายังไม่มีการพูดออกมา แต่ตนคิดว่าทุกคนรู้ ทั้งที่จริงๆ แล้วการเกิดขึ้นของกรรมาธิการฯ ไม่เกี่ยวอะไรกับนายทักษิณเลย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พูดกันมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลที่แล้ว และคิดว่ามีคนจำนวนเพียงไม่กี่คนที่จะรู้ว่านายทักษิณจะได้กลับมาอยู่ประเทศไทย.