การหาความสมดุลให้ตนเอง (Work-Life Balance) เทรนด์ที่กำลังได้รับความนิยมเพราะการใช้ชีวิตของคนในปัจจุบันทำให้เกิดความเครียดสะสมและส่งผลเสียต่างๆ ต่อสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิตใจ   

SX TALK SERIES ครั้งที่ 3 ที่ผ่านมาเปิดเวทีเสวนาหัวข้อ “บาลานซ์อยู่ไหน? ปรับกาย ฮีลใจ ให้สมดุล” โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ ผศ.ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คุณดุจดาว วัฒนปกรณ์ ผู้ก่อตั้ง Empathy Sauce และนักจิตบำบัดด้วยศิลปะการเคลื่อนไหว ผู้ที่ให้ศิลปะบำบัดและเยียวยาจิตใจ และ คุณอรุณฉัตร คุรุวาณิชย์ ผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร บริษัท มายด์เซ็ทเมคเกอร์ จำกัด ร่วมเสวนา เผยเคล็ดลับพาเรียนรู้วิธีปรับสมดุลชีวิตให้ลงตัว ที่นำไปใช้ได้จริง ณ C asean SAMYAN CO-OP สามย่านมิตรทาวน์                          

ทั้งนี้ ผศ.ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อุปนายกสมาคมจิตวิทยาการปรึกษาแห่งประเทศไทย กล่าวถึงสุขภาพจิตในประเทศไทยและการดูแลสุขภาพจิตในชีวิตประจำวันว่า ความสุขหรือความทุกข์ในชีวิตเราไม่ได้เกิดจากตัวเราเพียงคนเดียว แต่ยังมีสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อชีวิต เช่น ครอบครัว โรงเรียน สิ่งแวดล้อม ฯลฯ เป็นปัจจัยที่เราไม่สามารถจัดการได้ แต่ส่งผลให้ชีวิตของเราขาดบาลานซ์

การจะทำให้คนกลับมามีบาลานซ์ในชีวิตอีกครั้ง จึงต้องทำอะไรที่มากกว่าการเปลี่ยนที่ตัวคนเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องปลี่ยน Mental Health Ecosystem ทั้งระบบ เพื่อเอื้อให้เกิดความยั่งยืนต่อสุขภาพจิตของคนในสังคม เช่น การมีพื้นที่สีเขียวสำหรับพักผ่อน สังคมออนไลน์ที่ปลอดภัย หรือการสร้างสังคมที่ทำให้คนกล้าเปิดเผยตัวตน

 ส่วนตัวเราก็สามารถสร้างบาลานซ์ได้ด้วยการมี Compassion หรือความเมตตากรุณาให้คนรอบตัว เพื่อเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กันและกัน รวมถึงการอ่อนโยนกับตัวเอง มีสติรับรู้ว่าตัวเรากำลังรู้สึกอย่างไร และรักตัวเองให้เหมือนกับที่เรามีความรักให้คนรอบตัว

ทางด้าน อรุณฉัตร คุรุวาณิชย์ ผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร บริษัท มายด์เซ็ทเมคเกอร์ จำกัดระบุว่า การเข้าใจตนเองคือก้าวแรกสู่การเสริมสร้างสุขภาพจิตที่ดี  “จิตวิทยาเชิงบวก คือการสร้างความงอกงามให้จิตใจ ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับความเครียด ความรู้สึกติดลบในใจ เราก็สามารถสร้างภาวะเชิงบวกเพื่อสุขภาพจิตที่ดีได้ด้วยตัวเอง โดยมีหลักการสำคัญชื่อว่า PERMA ได้แก่ P คือ Positive Emotion อารมณ์เชิงบวก เช่น สนุก ตื่นเต้น ภูมิใจ บันเทิงใจ มีความหวังเพื่อให้เราสามารถรับมือเมื่อต้องเจอกับเรื่องราวเชิงลบได้ E คือ Engagement การรู้สึกมีส่วนร่วมกับกิจกรรมในชีวิตที่ทำให้เรียนรู้และเติบโต R คือ Positive Relationship การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น จะเป็นเกราะทางใจและเป็นตัวแปรให้เราอยากทำสิ่งที่ดีให้ตัวเองM คือ Meaning การตระหนักถึงคุณค่าและความหมายในตัวเอง และA คือ Accomplishment รู้สึกถึงการเติบโตของตัวเองในแต่ละขั้นของชีวิต หากได้ฝึกคิดและพัฒนาสุขภาวะทางจิตของตัวเองอยู่เสมอ และขยายไปสู่คนรอบข้างจะทำให้เรามีกำลังพร้อมรับมือกับความท้าทายในทุกวัน

ขณะที่ ดุจดาว วัฒนปกรณ์ ผู้ก่อตั้ง Empathy Sauce และนักจิตบำบัดด้วยศิลปะการเคลื่อนไหวกล่าวถึง การเยียวยาจิตใจตัวเองเป็นสิ่งที่เราควรทำเป็นประจำ ไม่รอให้ใจตัวเองร่วงแล้วค่อยซ่อมแซม แต่ควรทำตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นอะไร เพื่อป้องกันไม่ให้ใจหล่นไปไกล อย่างเช่น การเยียวยาจิตใจตัวเองด้วยศิลปะ เรามีคลาสซ่อมใจสำหรับคนที่มองหาบาลานซ์ในชีวิตผ่านศิลปะใน 4 แขนง คือ Visual Arts การวาดเขียน การปั้น  Music ดนตรีสื่ออารมณ์ Drama การแสดงเพื่อรู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองและผู้อื่น และ  Drama Movement ศิลปะการเคลื่อนไหวร่างกายเพื่อเยียวยาจิตใจ ไม่จำเป็นต้องวาดรูปเก่ง หรือมีทักษะใด ศิลปะมีพลังที่สามารถช่วยเยียวยาจิตใจเราได้

“ อยากให้ทุกคนเติมศิลปะเรื่องการมี Empathy เข้าไปในวิถีชีวิต ไม่มองโลกใบนี้แค่ในมุมของตัวเอง แต่มองเห็นความละเอียดอ่อนของตัวเองและผู้อื่น การซัพพอร์ตและให้กำลังใจซึ่งกันและกัน สามารถช่วยป้องกันและเยียวยาจิตใจที่ทุกคนสามารถทำได้ด้วยตัวเอง”