กรณี น.ส.ปภัสรา (สงวนนามสกุล) อายุ 32 ปี บ้านอยู่ ต.ปากพูน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช เป็นครูสอนอยู่โรงเนียนมัธยมแห่งหนึ่ง ใน อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี เข้าร้องเรียนขอความช่วยเหลือจากศูนย์ข่าวนคร 24 ชม. สมาคมสื่อมวลชนนครศรีธรรมราช กรณีถูกนายรัฐพล อดีตสารวัตรทหาร (สห.) มทบ.41 ค่ายวชิราวุธ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ที่มักจะอ้างว่าตัวเองมียศ “สิบเอก” จนมีการแต่งงานกับครูปัด จนมีบุตร 3 คน อายุ 5 ขวบ 3 ขวบ และ 2 ขวบ แต่นายรัฐพล มีพฤติกรรมไม่ไปทำงาน จนถูกผู้บังคับบัญชาให้ออกจากราชการ และทำเรื่องให้ได้รับเงินเดือนละ 10,000 บาทเศษ เพื่อเลี้ยงดูบุตร โดยนายรัฐพล มีพฤติกรรมร้ายแรง ยุ่งเกี่ยวยาเสพติด ทารุณกรรมทุบตี น.ส.ปภัสรา และบุตรสาว อย่างโหดร้าย ใช้ปืนบังคับข่มขู่ฆ่า หากแจ้งความ จน น.ส.ปภัสรา ทนไม่ไหว นำลูกสาวไปฝากพ่อแม่เลี้ยงที่ จ.นครศรีธรรมราช ก่อนเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.ไชยา ขณะที่นายรัฐพล ไหวตัวทัน ยังขโมยรถกระบะแม่ยายหลบหนีไป ตามที่เสนอข่าวมาอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น
ครูสาวครวญ! ร้องสื่อช่วยถูกสามีเก่า อดีตสห. ‘ฉกรถ-เงินบำนาญ-ทำร้าย’ คดีไม่คืบ
ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2567 น.ส.ปภัสรา เปิดเผยว่า หลังได้รับการช่วยเหลือจากศูนย์ข่าวนคร 24 ชม. สมาคมสื่อมวลชนจังหวัดนครศรีธรรมราช ช่วยประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จนในขณะนี้ตนได้รับความเมตตาจากผู้หลักผู้ใหญ่ ให้ย้ายมาสอนที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ใน อ.ปากพนัง และนำบุตร 3 คน มาขออาศัยอยู่กับพ่อแม่ที่ ต.ปากพูน และในทางคดี เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2567 ที่ผ่านมา ด่านตรวจร่วมตำรวจ-ทหาร สภ.สุขสำราญ จ.ระนอง สามารถตรวจยึดรถกระบะของนางนิภารัตน์ แม่ตน ที่นายรัฐพล อดีตสามีชิงขับหลบหนีไปได้แล้ว แต่ไม่มีอำนาจจับกุมนายรัฐพล เนื่องจากไม่มีหมายจับ จึงตรวจยึดรถกระบะไว้และปล่อยตัวไป
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเมื่อเช้าวันนี้ (30 พ.ค.) ทางพนักงานสอบสวนและ ผกก.สภ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ได้แจ้งให้ตนทราบว่า ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้อนุมัติหมายจับนายรัฐพล อดีตสามีตนแล้ว ในข้อหาว่ากระทำความผิดฐาน “ทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เป็นอันตรายแก่กาย หรือจิตไจของผู้อื่น กระทำความรุนแรงในครอบครัว และทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัว หรือตกใจโดยการขู่เข็ญ” ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการติดตามจับกุมตัวนายรัฐพล หรือเต้ย ตามหมายจับมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในปัจจุบัน น.ส.ปภัสรา มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างยากลำบาก ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า เพราะคิดมากและเครียดเรื่องชะตากรรมชีวิตของตัวเองและลูกๆ 3 คนต้องมาพึ่งพ่อแม่ ซึ่งมีอาชีพขายไก่ทอด มีหนี้สิ้นล้นพ้นตัว ทั้งในและนอกระบบจากการล้างผลาญของอดีตสามี รถยนต์เก๋งที่เคยใช้ขับไปสอนหนังสือและไปกลับระหว่าง จ.สุราษฏร์ธานี-นครศรีธารรมราช ก็นำไปค้ำประกันเงินกู้กว่า 40,000 บาท แม้จะได้รับความเมตตาจากผู้บังคับบัญชา ให้ย้ายกลับมาสอนที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ใน อ.ปากพนัง แล้วก็ตาม เงินเดือนไม่พอจ่ายหนี้ทั้งในและนอกระบบ ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตร 3 คน ตกเป็นภาระพ่อแม่ แม้แต่จะไปสอนหนังสือที่โรงเรียนใน อ.ปากพนัง ก็ต้องขออาศัยรถของคุณครูที่สอนโรงเรียนเดียวกัน โดยพ่อแม่จะให้เงินติดตัวไปวันละ 100 บาท ซึ่ง น.ส.ปภัสรา ต้องอดทนเพื่อผ่านวิกฤติชีวิตไปให้ได้
นางนิภารัตน์ กล่าวว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตนและสามีในฐานะพ่อแม่ และตายายของหลานๆ ทั้ง 3 คน จะไม่ปฏิเสธทิ้งลูกหลานให้ผจญชะตากรรมชีวิตอย่างโดดเดี่ยวแน่นอน ในกระบวนการชั้นศาล ตนอยากยื่นคำร้องเพื่อให้ศาลได้พิจารณาเรื่องเงินเดือนของนายรัฐพล ที่ยังได้รับเดือนละกว่า 10,000 บาท เพราะทางผู้บังคับบัญชาตั้งใจให้นำมาใช้ในการเลี้ยงดูบุตร แต่นายรัฐพล กลับนำไปใช้ส่วนตัวทั้งหมด ไม่เคยหยิบยื่นมาให้ลูกๆ แม้แต่บาทเดียว และยังบังคับข่มขู่เบียดบังเอาเงินและทรัพย์สินของลูกสาวไป จนปัจจุบันกลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว
นางนิภารัตน์ กล่าวอีกว่า ดังนั้นจึงอยากขอความเมตตาจากศาล ให้มีคำสั่งให้นายรัฐพล แบ่งสัดส่วนของเงินเดือนที่ได้รับเดือนละกว่า 10,000 บาท มาให้ลูกสาวเพื่อใช้เลี้ยงดูลูกๆ ทั้ง 3 คนบ้าง ซึ่งในระหว่างนี้ ตนกับสามี ต้องอดทนในการประกอบอาชีพขายไก่ทอดให้มีรายได้พอประคับประคองครอบครัวตัวเองและลูกสาว ให้ผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปให้ได้ ขอขอบพระคุณสื่อมวลชนและทุกคนทุกฝ่ายที่เมตตายื่นมือเขามาช่วยเหลือครูปัด และลูกๆ ในครั้งนี้ด้วย.