การสนับสนุนการเงินของธนาคาร รวมถึงการแชร์ประสบการณ์จากธุรกิจที่ปรับตัวแล้ว เพื่อพร้อมรับมือและปรับตัวสู่เศรษฐกิจคาร์บอนตํ่าไปด้วยกัน ภายใต้หัวข้อ เอิร์ธ จั๊มพ์ 2024 (EARTH JUMP 2024) ซึ่งทีม Sustainable Daily ได้รวบรวมประสบการณ์ของวิทยากรบางส่วนที่ได้ร่วมแชร์ภายในงาน

เริ่มจาก “ขัตติยา อินทรวิชัย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย มองว่า อัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในหลาย ๆ ประเทศนั้นสวนทางกับอัตราการปล่อยคาร์บอนเป็นอย่างมาก คือ ยิ่งมีการเติบโตของจีดีพีสูงขึ้นเท่าไร่ อัตราการปล่อยคาร์บอนยิ่งน้อยลงเท่านั้น เนื่องมาจากการตระหนักถึงความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมที่มาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีการปรับตัว และปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิต ประกอบกับศักยภาพด้านนวัตกรรม และเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อวางรากฐานด้านโครงสร้างต่าง ๆ ให้สามารถต่อยอดและสร้างโอกาสได้อย่างหลากหลาย

ขณะที่ประเทศไทย มีแนวโน้มส่งสัญญาณบวกเช่นเดียวกัน เป็นการเริ่มต้นที่ดีที่เห็นการฟื้นตัวของจีดีพีกลับมา สวนทางกับการปล่อยคาร์บอนที่ลดน้อยลง นับเป็นข่าวดีที่แสดงเห็นว่าทุกภาคส่วนเริ่มให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งการที่เราจะนำพาประเทศไทยก้าวสู่เศรษฐกิจคาร์บอนตํ่าได้ ไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่ง เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องร่วมมือกัน และการทำงานร่วมกันก็จำเป็นจะต้องมีการกำหนดกติกากลางขึ้นมาร่วมกัน ในปีนี้ภาพนี้ก็มีความชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ธนาคารรู้ดีว่าการสนับสนุนให้ธุรกิจตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องที่สำคัญ ธนาคารจึงจัดงานนี้ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานได้รู้ทิศทางเป้าหมายของประเทศ กติกาด้านภาษีทั้งภายในและต่างประเทศ ตลอดจนกติกาด้านการเงินและการลงทุน รวมถึงการแชร์ประสบการณ์การปรับตัวจากธุรกิจต่าง ๆ ที่ได้ลงมือทำและเห็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้

ปตท.ปรับพอร์ตมุ่งพลังงานสะอาด

“ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือปตท. ระบุว่า ปตท. มุ่งมั่นในการสร้างความสมดุลให้กับเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จึงให้ความสำคัญกับเรื่องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) โดยมีนโยบายในการลดคาร์บอน 3 ประการ ดังนี้ 1. การปรับพอร์ตให้เป็น Net zero มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็เพิ่มสัดส่วนการลงทุน โดยเน้นธุรกิจพลังงานสะอาด 2. การปรับตัวของ PTT ในฐานะธุรกิจด้านพลังงานและปิโตรเคมีอย่างครบวงจร 3. การดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ และนำคาร์บอนไดออกไซด์ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งยังส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดหรือพลังงานหมุนเวียนในกระบวนการผลิต ตลอดจนผลักดันการใช้พลังงานจากไฮโดรเจน

“เราต้องสร้าง ecosystem ไม่ใช่แค่ปตท.เท่านั้น แต่ทุกภาคส่วนจะต้องช่วยกัน ทั้งภาครัฐและเอกชน เพราะหากทำเรื่องพลังงานสะอาดต้นทุนจะสูง แต่อยากให้มองว่า เป็นเรื่องเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม”

ส.อ.ท.ชี้กติกาโลกร้อนต้องรับ-ปรับตัว

ขณะที่ “เกรียงไกร เธียรนุกุล” ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) มองว่า โลกปัจจุบันมีความท้าทายหลากหลายด้าน ที่ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมไทยต้องเร่งปรับตัว ไม่ว่าจะเป็นการแทรกแซงทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Digital Disruption) ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และกฏกติกาใหม่ของโลกเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งภายใต้กติกาดังกล่าว ไม่ใช่การทำให้ถูกที่สุดหรือทำให้ดีที่สุด ทว่าสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไป คือ เรื่องของสิ่งแวดล้อม

ส.อ.ท.ในฐานะศูนย์กลางการผลิต ภาคอุตสาหกรรมของประเทศ ซึ่งมีส่วนในการผลักดันเศรษฐกิจ คิดเป็น 30% หรือ 1 ใน 3 ของจีดีพีไทย และการผลิตที่มุ่งเน้นการส่งออกเป็นส่วนใหญ่ ฉะนั้นเมื่อกติกาโลก คำนึงถึงการลดการปล่อยก๊าคาร์บอนไดออกไซด์ ภาคเอกชนจึงจำเป็นจะต้องเร่งปรับตัวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อให้สอดคล้องกับกติกาโลกให้ได้ นี่จึงเป็เหตุผลให้ ส.อ.ท. จัดตั้ง “สถาบัน Climate Change” ทั้งการให้ความรู้ กฎกติกา

“เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ยาก เนื่องจากต้องทำท่ามกลางความเปราะบางของเศรษฐกิจ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เราจำเป็นต้องทำ เนื่องจาก 60% ของจีดีพีไทย ต้องพึ่งพาการส่งออก เรามีหน้าที่เสิร์ฟให้กับลูกค้าของเราไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ หรือยุโรป ซึ่งต้องทำตามมาตรการต่าง ๆ ที่ออกมา อย่างมาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (CBAM) ที่บังคับใช้แล้ว ตั้งแต่ 1 ต.ค. 66 ที่ผ่านมา โดยในด้านอุตสาหกรรมนำร่อง ก็เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานเยอะ ปล่อยก๊าซเยอะ ทั้งเหล็กกล้า อุตสาหกรรมซีเมนต์ อุตสาหกรรมที่ผลิตไฟฟ้า เหล่านี้ถูกบังคับใช้ แต่เป็นการส่งรีพอร์ต ซึ่งภายใน 2 ปีข้างหน้า ทุกอุตสาหกรรมจะเข้าสู่ CBAM ทั้งหมด ดังนั้นก็จะต้องปรับตัว” เกรียงไกร กล่าว

จี้เร่งเก็บภาษีคาร์บอนก่อนซีแบมมา

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ระบุว่า ประเทศไทยต้องมีภาษีคาร์บอน โดยคิดภาษีจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อตัน และนำเงินภาษีที่ได้ไปตั้งกองทุนสีเขียว และกองทุนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ เพื่อช่วยเหลือในการทำ Mitigation, ช่วยเหลือในการทำ Adaptation, ช่วยกลุ่มเปราะบางปรับตัว แต่ไม่ควรใช้เงินรายได้จากภาษีคาร์บอนไปใช้หนี้ของรัฐบาล โดยอัตราภาษีที่จะเรียกเก็บควรคิดในอัตราเดียวกัน ซึ่งราคาตํ่าสุดคิดคาร์บอน 1 ตัน ในราคาที่ 4-5 ดอลลาร์ แต่ถ้าในยุโรปเหนือ คิดราคาต่อตันมากกว่า 100 ยูโร โดยประเทศไทยจะต้องเร่งปฏิบัติ เนื่องจากมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (CBAM) จะมีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 1 มกราคม 2569

อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วรูปแบบของการเรียกเก็บภาษีคาร์บอนจะนําปริมาณคาร์บอนส่วนเกินมาคํานวณกับอัตราภาษีคาร์บอน ซึ่งแต่ละประเทศจะมีฐานภาษีที่แตกต่างกันไป และส่วนใหญ่จะแบ่งประเภทของภาษีออกเป็น 2 แบบ คือ 1. ภาษีคาร์บอนทางตรง คือ เก็บภาษีจากปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการผลิตสินค้าโดยตรง 2. ภาษีคาร์บอนทางอ้อม คือ เก็บภาษีจากปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามการบริโภคแต่ไม่ได้เป็นผู้ผลิตเอง

“สิ่งที่อยากจะฝากรัฐบาล คือ อยากให้รีบทำ เพราะจะเหลือเวลาอีกเพียง 1 ปีครึ่งเท่านั้น ก่อนที่จะบังคับใช้ CBAM เพื่อไม่ให้ประเทศเสียโอกาสในการแข่งขัน”

แบงก์ชาติดันแบงก์เดินหน้าสู่ความยั่งยืน

“รณดล นุ่มนนท์” รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ธปท.และภาคสถาบันการเงินจะให้ความสำคัญในการสนับสนุนให้ภาคธุรกิจปรับตัวไปสู่การเปลี่ยนแปลง เพื่อสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเหมาะสม ซึ่งตรงกับบริบทของไทยอย่างจับต้องได้ โดยปีที่ผ่านมาธปท. ได้ขอความร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์ ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยสนับสนุนเงินทุนเพื่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างเป็นรูปธรรม

สำหรับแนวทางการปรับตัวไปสู่ความยั่งยืนนั้น แต่ละประเทศจะมีความแตกต่างกันตามความพร้อม ซึ่งภาคธุรกิจของไทยยังคงใช้เทคโนโลยีแบบเก่า ยังคงพึ่งพาพลังงานในสัดส่วนที่สูง นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สูงอันดับที่ 9 และยังประสบปัญหามลภาวะเป็นพิษ อย่าง PM2.5 ที่รุนแรงขึ้น ด้วยเช่นกันดังนั้นในการปรับตัวของประเทศไทย จะต้องให้ความสำคัญใน 2 มิติคือ 1. เรื่องของการปรับเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษ 2. การสนับสนุนการลงทุนในนวัตกรรม เทคโนโลยี ที่รองรับกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น.