นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2564 บริษัท S&P Global Ratings (เอสแอนด์พี) ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ที่ระดับมีเสถียรภาพ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

  1. ภาคการคลังสาธารณะ มีความแข็งแกร่ง แม้ว่าการดำเนินนโยบายการคลังผ่านมาตรการต่างๆ ของภาครัฐเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จะทำให้การขาดดุลงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564–2565 และ หนี้ของรัฐบาลเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี เอสแอนด์พี คาดว่า ปี 2566 เมื่อสถานการณ์คลี่คลายรัฐบาล เศรษฐกิจฟื้นตัว รัฐบาลจะสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นและจัดทำงบประมาณขาดดุลลดลง
    สถานการณ์การระบาดของโควิด ยังส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่องต่อการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศไทย แต่เอสแอนด์พีคาดว่า ปี 2564 เศรษฐกิจไทยจะเติบโต ประมาณร้อยละ 1.1 และจะเติบโตเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณร้อยละ 3.6 ต่อปี ในช่วงปี 2565-2567 จากภาคการส่งออกและภาคการท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากสามารถควบคุมการระบาดของโควิด และประชาชนได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึงได้ อีกทั้งคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับไปอยู่ที่ระดับเดิมก่อนเกิด โควิด ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป
    นอกจากนี้ รัฐบาลยังสนับสนุนการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ให้เป็นไปตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ อาทิ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก และโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง และยังส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงทางการคลังของรัฐบาลให้เป็นไปตามกรอบวินัยการเงินการคลังของภาครัฐ
  2. ภาคการเงินต่างประเทศ ยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล อีกทั้ง สภาพคล่องและทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง โดย เอสแอนด์พีคาดว่าสภาพคล่องต่างประเทศของประเทศไทยยังอยู่ในระดับที่ไม่น่ากังวล นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายทางการเงินและการรักษาเสถียรภาพด้านราคาเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ
  3. ปัจจัยสำคัญที่เอสแอนด์พีจะติดตามอย่างใกล้ชิด คือ การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม และเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะปานกลาง