กลายเป็นที่สนใจอย่างมากมายสำหรับดราม่าล่าสุดของพระเอกลิเกชื่อดัง “แบงค์-ศรราม เอนกลาภ” หรือ “ศรราม น้ำเพชร” ที่ทำเอาคนสนใจค้นหาประวัติและความดังของเขากันทั้งประเทศ งานนี้หลังทุกอย่างผ่านพ้นไป แบงค์ก็ได้ออกมาเล่าเรื่องราวส่วนตัว ซึ่งเผยที่มาก่อนเข้าสู่วงการลิเก เปิดใจถึงคำว่าอาชีพเต้นกินรำกินไม่เคยมองว่าเป็นการดูถูก เคยทุกข์หนักเพราะเรื่องรักจนเกิดผลกระทบกับงาน ไม่เสียใจหากแฟนคลับไปติดตามคนอื่นแต่จะไม่หยุดพัฒนาตัวเอง ในรายการ WOODY FM แบบจัดเต็ม

แบงค์ เผยว่า “จริงๆ แล้วผมทำงานมา 20 กว่าปีครับ แต่ว่า 20 ปีเป็นอายุของคณะศรรามน้ำเพชร แบงค์แสดงตั้งแต่ 4 ขวบครับ ปัจจุบันอายุ 27 ปี แต่เล่นลิเกมา 23 ปีแล้ว ถามว่าฝืนไหมตอนเด็กไม่เคยเลยครับ คือเราก็ไปกับคุณแม่ รู้ว่าคุณแม่ไปแสดงลิเกเราก็ติดรถไปด้วย พอช่วงดึกๆ เราก็ขึ้นมานั่งข้างฉากตรงโรงลิเก ก็ดูเขาเล่น วันนี้แม่เล่นเรื่องนี้เราชอบฉากนี้สนุกจังเลย แล้วตอนเดินทางเราก็จะร้องลิเกเล่นๆ กับพี่สาว เพราะว่าคุณแม่แบงค์เป็นคนเสียงดีมากนางเอกลิเก ซึมซับโดยที่ไม่รู้ตัวเลยครับ จนวันหนึ่งคุณแม่ก็บอกว่าแบงค์เล่นลิเกหน่อยไหมลองดู ตอนแรกก็มีเล่นตัวหน่อยนิดหนึ่ง พอรู้ว่าได้ตังค์ไปซื้อของเล่นก็รู้สึกว่าน่าสนใจดีเหมือนกันนะ แต่ไม่มีความกลัว ไม่มีความเขินอายครับ เล่นก็เล่นแต่งหน้าเลย เขาก็เขียนกลอนมาให้ก็ออกไปร้อง คุณพ่อก็ไปนั่งดู เลยเห็นพรสวรรค์ในตัวเรา ก็เลยเกิดแรงบันดาลใจอยากจะฝึกลิเกให้กับแบงค์ ก็เล่นมาเรื่อยๆ เป็นการปลดล็อกเลยครับ เหมือนเราก้าวเข้ามาอยู่ในโลกของลิเกแล้ว ก็เรียนไปด้วย เล่นลิเกไปด้วยตั้งแต่เด็กๆ แต่ผมไม่เคยมีวันหยุดครับ แล้วก็ไม่เคยคิดจะหยุดด้วย เพราะคณะศรรามน้ำเพชรคือชื่อเรา การจ้างงานเจ้าภาพเขาก็อยากจะดูผลงานหน้าเวทีของตัวแบงค์ด้วย แล้วก็หาเหตุผลไม่เจอที่เราจะต้องหยุดงานหรือลางานครับ คือแบงค์กลัวอย่างโควิดที่ผ่านมาทำงานมาโดยตลอดเลย เจอคำถามว่าเอาเวลาไหนพักมีงานทั้งปีเลย แต่พอมีโควิดเข้ามาจากที่มีงานทุกวันเราแสดงไม่ได้กระทบกับทุกๆ อาชีพเลย ทุกๆ วันที่ตื่นเช้ามาก็ลุ้นตลอดว่าพรุ่งนี้เราจะได้เล่นลิเกหรือยัง จะได้เล่นเมื่อไหร่ ถ้าทุกอย่างเป็นปกติแล้วเจ้าภาพยังจะจ้างงานเราไหวไหม”

ผมกลับมาเหมือนเดิมครับ พอปลดล็อกก็มีมากกว่าเดิมครับ เพราะว่าปกติทุกปีช่วงหน้าฝนเดือน ก.ค., ส.ค., ก.ย. งานจะมีเดือนละประมาณ 15-20 คืน แต่ว่าอย่างปีนี้ ก.ค.-ส.ค. คือเต็มแล้ว จริงๆ แม้โลกเปลี่ยนไป แต่ลิเกยังอยู่ คือปรากฏการณ์ลิเกมันคือการยอมรับการเปลี่ยนแปลงของโลกครับ ที่มันเปลี่ยนไปตามยุคสมัย แน่นอนว่าวัยรุ่นก็จะมองว่าลิเกเก่าโบราณดูล้าสมัย ช่วงที่แบงค์มาแสดงตั้งแต่เด็กๆ ตอนนั้นเป็นช่วงที่ลิเกซบเซามาก แล้วก็เหมือนกำลังจะหายไปด้วย อาจจะด้วยเราเห็นแต่พ่อแม่พี่ป้าน้าอาวัยผู้ใหญ่ที่เขามาแสดงกัน วัยรุ่นก็เลยมองข้ามไป แต่พอมีเด็กๆ เข้ามาสานต่อมันก็เหมือนวัยรุ่นคุยกับวัยรุ่นรู้เรื่องครับ หลังจากนั้นเราก็พัฒนามาเรื่อยๆ แล้วเสน่ห์ของลิเกมันคือการอะไรก็ได้เราเอามาประยุกต์ใช้ได้หมดกับทุกๆ วัฒนธรรม มันเข้าได้หมดจริงๆ นะครับ เราจัดวางได้ทุกอย่างเลย ถ้ามันพอดีมันเหมาะสมก็เพอร์เฟกต์ได้ อย่างผมเองมองว่าแฟนคลับเขาตั้งใจมาดูเราครับ ค่ารถ ค่าเก้าอี้ ทำบุญ เดินทางมาแล้วไม่ใช่ใกล้ๆ บางทีข้ามจังหวัด การเอ็นเตอร์เทนก็คือผลงานที่หน้าเวทีที่เราต้องแสดงออกมาให้ดีๆ คุณพ่อเคยสอนไว้ว่าถ้าวันนี้เราเล่นดีแสดงดี วันพรุ่งนี้เราก็จะมีงานต่อในทุกๆ วัน แต่เซอร์วิสก็คือว่าหลังจากแสดงจบแล้ว เราก็จะมีเซลฟี่กับแฟนคลับหน้าเวที แล้วก็ลงไปขอบคุณ FC ที่เขารอเรา นั่นก็คือการเซอร์วิสทั้งความรู้สึกแล้วก็ความสุขที่เขาจะได้รับกลับบ้านเต็มอิ่ม ทำให้เขาประทับใจจะได้มาดูเราอีก”

แบงค์ เล่าต่อว่า “แฟนคลับลิเกสามารถเข้าถึงศิลปินได้ง่าย ทุกอย่าง เวลามีเรื่องอะไรเราก็จะสามารถสื่อสารได้โดยตรงเลย คือเราพูดคุยกันแบบนี้เลยแทบจะทุกคนเลย ไม่ว่าจะทุกข์ สุข หรือ ปัญหา คุยได้ทั้งหมดยกเว้นเรื่องเงินครับ (หัวเราะ) แต่ถ้าเอาเงินมาให้อันนี้คุยได้ครับ อย่างของแบงค์ก็จะเป็นทองครับที่มากที่สุด เคยมีคนเสนอที่ดินมาให้แต่ว่าก็เคยมีหลายเคสตัวอย่างเดี๋ยวก็มีปัญหาอะไรกัน ก็ไม่ได้เอา คุณพ่อคุณแม่ก็บอกไว้ว่าเราค่อยๆ สร้าง ค่อยๆ เก็บ หาเองดีกว่า อย่างลิเกสายวาย ก็แปลกใหม่นะครับ ก็เคยมีนะครับพี่ๆ ที่เขาไปปิดวิกแสดงเอาเรื่องเกาหลีมาทำเน้นสนุกสนาน แต่ว่าคณะแบงค์เองก็ยังไม่เคยทำ ผมมองว่ามันทำได้ครับ แล้วก็เป็นไปได้ด้วย ที่คนบางคนเขาบอกว่าเป็นการเต้นกินรำกิน แต่สำหรับแบงค์การแสดงมันไม่ใช่เลยคือสมัยก่อนเต้นกินรำกินเหมือนเป็นคำที่ใช้ว่ากัน แต่สำหรับเราให้เกียรติกับอาชีพแล้วก็ซื่อสัตย์ต่ออาชีพ ใช่ครับลิเกคืออาชีพที่เต้นกินรำกิน แต่ไม่เคยมองว่าคำนี้เป็นคำดูถูกมันเหมือนเป็นแรงผลักดัน คำว่าเต้นกินรำกินนี่แหละที่ทำให้ได้มีแฟนคลับมีอาชีพ ได้ดูแลคนในครอบครัว และทีมงานในคณะอีกที่เป็นร้อยชีวิต”

“เรื่องการให้เวลาแฟนคลับไม่เท่ากัน ไม่อยากให้ทุกคนคิดว่าตัวแบงค์เลือกหรือมีเวลาให้ไม่เท่ากัน สำหรับตัวเราเองจะมีกฎเกณฑ์ที่จะรู้ว่าความเหมาะสมความพอดีควรจะแค่ไหนประมาณไหน เคยได้ยินที่เขาบอกว่าศรรามคุยกับกลุ่มนั้นนานมากเลย แต่มาหาฉันแป๊บเดียวเอง ซึ่งถ้ามี Topic ให้คุยเราก็สามารถพูดคุยได้ปกติถ้าคุยจบแล้วก็ต้องขออนุญาต เพราะว่าก็มีแฟนคลับหลายคนที่รอ แล้วก็จะมีกลุ่มที่นานก็คือกลุ่มแอดมินซึ่งก็ติดตามแบงค์มานานแล้ว เราก็จะมีคุยงานกันด้วยเป็นพี่ๆ ที่ดูแลเพจ ดูแลด้อมให้กับแบงค์ อย่างแฟนคลับมีเส้นบางๆ ระหว่างความชอบและหลงรัก คือสมัยก่อนน่าจะเป็นปัญหาเรื่องใหญ่นะครับ การที่เราจะมีแฟนหรือเปิดตัว แต่ปัจจุบันนี้แบงค์เองคิดว่าการที่จะทำให้คนมารักเขาก็ต้องรู้จักตัวตนของเแบงค์เอง รวมไปถึงตัวแบงค์เองก็ต้องมีการวางตัวที่ดีเสมอต้นและเสมอปลายให้เขารักเราที่เป็นตัวเรา แล้วถ้าเกิดเขารับได้กับสิ่งที่เราเป็นไม่ว่าจะเป็นมุมมองหรือเรื่องอะไรก็แล้วแต่เรื่องอื่นก็เป็นเรื่องเล็กไปเลยครับ จะมีแฟนหรือจะอะไรก็คือเขารักเราไปแล้ว เราจะรักใครแบงค์เชื่อว่าเขาพร้อมซัพพอร์ตเสมอ เรื่องแฟนแบงค์เราไม่เคยเปิดตัว เพราะเวลานอนยังจะไม่มีเลยครับพี่วู้ดดี้ (หัวเราะ) เคยทุกข์นะกับเรื่องที่เรามีแฟน แล้วเราทุกข์เราเครียด เกี่ยวกับปัญหาเรื่องชีวิตคู่ แล้วทำงานหนัก เราก็แบกเรื่องเครียดมาทำงานด้วย เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งออกฉากแรก เราต้องออกไปไหว้แล้วก็รำ พอไหว้แล้วเงยหน้าขึ้นมาอยู่ดีๆ มองท่านผู้ชมที่นั่งอยู่แล้วรู้สึกว่ามาดูอะไรกัน งงๆ แปลกๆ กับความรู้สึกของตัวเองในตอนนั้น เพราะเราเครียดกันเรื่องความรักมากๆ เล่นลิเกไม่มีความสุขเลย เครียดคิดไปหมดไม่มีสมาธิที่จะมาโฟกัสกับงาน ก็เลยมีเลื่อนดูรูปใน IG มีอยู่รูปหนึ่ง FC ลงเป็นรูปเรายิ้ม ก็รู้สึกว่ารอยยิ้มนี้มันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ อยากได้รอยยิ้มแบบนี้ของตัวเองคืนมาก็เลยทบทวนแล้วคุยกับตัวเองว่าเรื่องความสำคัญในชีวิตเราตอนนี้ให้อะไรมาเป็นอันดับหนึ่ง แบงค์เลือกงาน เรื่องความรักก็ดร็อปลงไป ตัดสินใจเพื่อที่จะมาโฟกัสงาน แต่ทุกวันนี้เราก็บอกกับตัวเองใหม่ว่า ถ้าเราจะมีความรักมันไม่มีใครเป็นเจ้าของใคร มีพบเดี๋ยวก็ต้องมีจาก ก็เลยเต็มที่กับงานแล้วก็เทคแคร์แฟนคลับ สิ่งสำคัญที่สุดคนที่ซัพพอร์ตเราก็สำคัญ”

“ตอนนี้แบงค์ก็มีคุยๆ ครับ (ยิ้ม) อย่างการที่แฟนคลับผมไปตามคนอื่น ผมไม่เคยเสียใจเลยครับ เพราะว่าเหมือนเราชอบดูหนังเรื่องนี้ ทำไมเราจะไปดูเรื่องอื่นไม่ได้ ไม่มีใครจะกินข้าวเมนูเดิมๆ ได้ทุกวันๆ อาจจะมีกินก๋วยเตี๋ยวบ้าง กินอย่างอื่นบ้าง แล้วก็กลับมากินข้าว เพราะฉะนั้นแล้วก็เป็นหน้าที่ของเราว่าจะเป็นศิลปินยังไงที่เขาจะตื่นเต้นตลอดที่ติดตาม เราก็เลยไม่เล่นลิเกอย่างเดียว หาละคร เปลี่ยนผลงานใหม่ๆ ทำเพลงให้เขาได้มาติดตาม มีอีเวนต์ มีงานใหม่ๆ ต่อยอดไปเรื่อยๆ เขาก็จะรู้สึกว่าตื่นเต้นน่าติดตาม ผมต้องการพิสูจน์ตัวเองด้วย พัฒนาไปเรื่อยๆ ให้คนเห็นถึงความตั้งใจ เราจะเป็นพระเอกลิเกที่ทำอะไรได้หลากหลาย เพราะว่าตัวตนของแบงค์จริงๆ คือพระเอกลิเก ในมุมมองของผมลิเกคือไม่มีที่สิ้นสุดครับ อยู่ที่ว่าจะต้องตามโลกให้ทันและมองให้ออกว่าปัจจุบันโลกต้องการอะไร คนต้องการเสพอะไร สุดท้ายแล้วคอนเซปต์ลิเก แต่งตัวแต่งหน้าเข้มครับ คนก็ถามแล้วจะไปเล่นลิเกที่ไหนเหรอ (หัวเราะ) ถูกต้องไหมครับ นี่คือเอกลักษณ์ของลิเก ชุดก็คือแฟชั่นไม่มีที่สิ้นสุดอยู่แล้ว สุดท้ายการนำเสนอของลิเกก็คือการร้องการรำ”