จากกรณีโลกออนไลน์ได้แชร์เรื่องราวของ พระมหาหนุ่ม วัย 24 ปี พระลูกวัดแห่งหนึ่งในพื้นที่ จ.อุตรดิตถ์ ที่ไปแอบเสพเมถุน มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ นางเอ (นามสมมุติ) อายุ 45 ปี นักการเมืองหญิง สังกัดพรรคดัง และเป็นแม่บุญธรรมของตัวเอง ขณะที่ฝ่าย นายบี (นามสมมุติ) สามีของ นางเอ และเป็นพ่อบุญธรรมของพระ จับได้แบบคาหนังคาเขา ช่วงที่พระมหากำลังนอนเปลือยกายอยู่กับ นางเอ บนเตียงนอน จึงได้ถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐาน ภายหลัง นางเอ พยายามแก้ตัวให้ฝ่ายพระว่า ลูกบุญธรรมมานอนค้างที่บ้าน แล้วเข้ามาคุยกันในห้องก่อนจะเข้าไปอาบน้ำเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรกันแต่อย่างใด ต่อมา พรรคประชาธิปัตย์ ได้แถลงถึงประเด็นฉาวดังกล่าว โดยเบื้องต้นได้ตั้งคณะกรรมการสอบ 3 วัน หากพบมีความผิดก็จะขับพ้นสมาชิกพรรค เหตุทำผิดศีลธรรม นั้น
เมื่อวันที่ 12 เม.ย.ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช และ ดร.ประยุทธ ประเทศเสนา รองประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม ให้ความรู้เรื่อง ปฐมปาราชิกของพระภิกษุ เดิมในอดีตเคยมีโทษตามกฎหมายบ้านเมือง มีโทษหนัก ให้เฆี่ยน ให้ตากแดด แต่คดีความในยุคนั้น พระต้องไปขึ้นศาลเยอะมาก จนทำให้ในสมัย ร.6 มีการสั่งให้ยกเลิกโทษปฐมปาราชิก ไม่ให้เป็นโทษอาญา เพราะศาลตัดสินกันไม่ไหว นั่นทำให้สิ่งที่อดีตพระมหาทำ ไม่ผิดตามกฎหมายบ้านเมือง สิ่งที่กองทัพธรรมอยากจะชี้ให้เห็นก็คือ เป็นไปได้หรือไม่ ที่เราจะเอากฎหมายเอาผิดทางอาญา กลับมาใช้กับพระที่มีพฤติกรรมแบบนี้ เพราะอย่างกรณีในเคสนี้ พระมหาลาสิกขา สึกไปแล้ว กฎหมายพระก็เอาผิดอะไรเขาไม่ได้อีก
ขณะที่ทนายแก้ว หรือ ดร.มนต์ชัย จงไกรรัตนกุล ให้ความเห็นว่า ในกรณีนี้มีการหมั้นหมายกัน สามารถฟ้องเอาของหมั้น เอาค่าชดเชยคืนจากหญิงคนนี้ได้ ซึ่งทนายอนันต์ชัยก็บอกว่า ให้ฟ้องเอาคืนดีกว่า เพราะผู้หญิงก็ร้าย ผู้ชายก็เลว คนแบบนี้ไม่ควรอยู่ในพระศาสนา