ตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2567 กระทรวงการคลัง ได้ปรับระบบการใช้สิทธิสวัสดิการแห่งรัฐใหม่ เพื่อเป็นการป้องกันให้แก่ผู้มีสิทธิ ไม่ให้ถูกผู้อื่นนำวงเงินสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐไปใช้โดยผู้มีสิทธิไม่ยินยอม โดย ธนาคารกรุงไทย พัฒนาแอปพลิเคชันถุงเงินที่รับชำระค่าสินค้าหรือบริการด้วยวงเงินสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ โดยผู้มีสิทธิจะต้องใช้บัตรประจำตัวประชาชนและรหัสคู่บัตร (PIN Code) 6 หลัก พร้อมทั้งสแกนใบหน้าสำหรับการยืนยันการชำระเงิน เพื่อให้มีความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ยังเกิดปัญหามาต่อเนื่อง ว่าไม่สามารถสแกนหน้าได้ โดยเฉพาะกับผู้สูงอายุที่ไม่เชี่ยวชาญด้านไอที จนทำให้ผู้ได้สิทธิต้องออกมาโวยกันยกใหญ่ อาทิ ดราม่า ผู้มีสิทธิคนหนึ่งไปใช้สิทธิซื้อสินค้าร้านธงฟ้า ที่รับชำระค่าสินค้าด้วยแอปพลิเคชันถุงเงินที่ จ.ชัยนาท เมื่อเลือกซื้อสินค้าแล้ว ในขั้นตอนการชำระค่าสินค้าจะต้องใช้บัตรประจำตัวประชาชน และรหัสคู่บัตร 6 หลัก พร้อมทั้งสแกนใบหน้า แต่สแกนใบหน้าไม่ผ่านทำให้ต้องคืนสินค้า
ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้น กรมบัญชีกลาง ได้แนะนำเทคนิค ป้องกันปัญหาที่ไม่สามารถสแกนใบหน้าผู้มีสิทธิได้ ให้ร้านค้าหรือผู้ประกอบการดำเนินการ 3 วิธี ดังนี้
- ให้ผู้มีสิทธิยืนในตำแหน่งของร้านค้าที่มีแสงสว่างเหมาะสม ไม่ยืนย้อนแสง ไม่มีเงาตกกระทบบนใบหน้า
- ให้ผู้มีสิทธิถอดแว่นตา หมวก และหน้ากากอนามัย (ถ้ามี) ออก เก็บผมไว้หลังใบหูขณะทำรายการ
- ให้ใบหน้าผู้มีสิทธิอยู่ในกรอบ พร้อมมองตรง ไม่เอียงศีรษะ ไม่ขยับหน้าไปมาขณะถ่ายรูปสแกนใบหน้า
อย่างไรก็ดี กรมบัญชีกลางยังได้ยกเว้น กรณีกลุ่มผู้พิการ ผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้สูงอายุ ที่มอบอำนาจให้ดำเนินการแทน และกลุ่มผู้ที่สแกนใบหน้าไม่ผ่านตั้งแต่ขั้นตอนยืนยันตัวตน (e-KYC) จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องทำการสแกนหน้าในการยืนยันการชำระเงิน
รวมถึงกลุ่มผู้พิการ ผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้สูงอายุที่ไม่สามารถไปใช้สิทธิได้ด้วยตนเอง และได้ทำการยืนยันตัวตน (e-KYC) ด้วยตนเองไปแล้ว หากไม่สะดวกเดินทางไปใช้สิทธิที่ร้านค้าด้วยตนเอง สามารถมอบอำนาจให้ผู้ดูแลกรอกแบบฟอร์มหนังสือมอบอำนาจสำหรับผู้พิการ ผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้สูงอายุที่ไม่สามารถเดินทางมาลงทะเบียนได้ด้วยตนเอง และนำเอกสารไปดำเนินการที่สาขา ธนาคารกรุงไทย