จากกรณี “ป.ป.ช.” ชี้มูลความผิด นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ขณะดำรงตำแหน่งหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี กับพวกดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการหน่วยพิทักษ์อุทยาน (ห้วยคมกฤต) ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ในช่วงเวลาที่ นายชัยวัฒน์ กำลังต่อต้านเรื่อง ส.ป.ก.รุกที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่พื้นที่ จ.นครราชสีมา จนกลายเป็นข่าวครึกโครม

เกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อวันที่ 20 ก.พ. ในรายการ เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand โดยพิธีกร ดนัย เอกมหาสวัสดิ์ และอมรรัตน์ มหิทธิรุกข์ ได้โฟนอินสอบถาม นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ ถึงเรื่องราวที่โดน “ป.ป.ช.” ชี้มูล โดย นายชัยวัฒน์ เปิดเผยว่า เหตุผลเรื่องคดีการชี้มูลปฏิบัติหน้าที่ 157 นั้น ตนไม่เคยโดนชี้มูลเรื่องรับเงิน แต่เป็นเรื่องปฏิบัติหน้าที่ล้วน ๆ ที่ผ่านมาตนไม่เคยไปก้าวร้าวใส่นักการเมืองหรือบุคคลใด แต่กลุ่มบุคคลนั้น ๆ กลับมารุกป่า ไปฆ่าสัตว์ป่าในพื้นที่ป่า ตนก็ต้องออกมาปกป้อง มันเป็นศักดิ์ศรีของผู้พิทักษ์ป่าที่ต้องทำงานหนัก วันดีคืนดีก็มี ส.ป.ก. มาแปะ วันดีคืนดีก็มีคนมายิงช้าง วันดีคืนดีก็มีคนมาเผาป่า อันนั้นใครจะมองว่าตนเป็นเทพเป็นมารตนไม่แคร์สายตาใครทั้งสิ้น

ส่วนที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดว่า ตนไปมีอะไรกับการก่อสร้างสำนักงานฯ นั้น เรื่องเกิดขึ้นตอนคดี “บิลลี่” ตนโดนร้องเรียนทุกเรื่องสมัยที่อยู่แก่งกระจาน โดยคดีนี้ถูกร้องในปี 2558 ไปตรวจสอบปี 2560 อ้างว่า ตนไปสร้างอาคารที่ทำการหน่วยพิทักษ์อุทยาน (ห้วยคมกฤต) ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน โดยมิชอบ โดยตอนแรกอ้างว่าตนฮุบเงิน 3.6 ล้านโดยไม่มีการสร้างหน่วย ซึ่งหน่วยนี้ต้องเข้าไปในป่าลึกมาก แล้วตอนนั้นไม่ได้มีการสร้างถนน ก็เลยไม่มีใครรู้ว่าสร้างแบบไหน พอเอา DSI กับ ป.ป.ท. เข้าไปตรวจ ก็พบว่ามีการสร้างหน่วยห้วยคมกฤตจริง

ทั้งนี้ ตนไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับหน่วยนี้เลย เพราะการจัดซื้อจัดจ้าง การควบคุมการก่อสร้าง จนสร้างเสร็จ ตนก็ไม่ได้เกี่ยวข้อง เมื่อตรวจเจอหน่วยแล้ว ก็ไปใช้ลูกเล่นใหม่ บอกว่า ก่อสร้างผิดแบบ แทนที่จะสร้างหลังคากระเบื้อง ก็ไปหลบเลี่ยงใช้หลบปูนไปครอบ ใช้ซีเมนต์ไปครอบ แม้แต่โถส้วมแบบนั่ง ก็ไปเปลี่ยนใช้เป็นแบบนั่งยอง ซึ่งตนก็อธิบายว่า กลุ่มชาติพันธ์ุและกำลังเจ้าหน้าที่ต้องการใช้โถส้วมแบบนั่งยองมากกว่า เพราะเขานั่งถ่ายแบบปกติไม่เป็น ตอนนั้นรับมอบแล้วก็ยังต้องถอดออกไป ซื้อมาเปลี่ยนใหม่ พอเขามาตรวจเจอก็เลยบอกว่าผิดแบบ ทั้งที่ชักโครกเดิมยังอยู่แล้วยังไปสร้างเพิ่มไว้ให้ ตอนรับมอบหน่วยมา ตนก็ไม่เคยรู้ว่าข้างในตอกเสาเข็มหรือไม่

การชี้มูลกล่าวหาว่าตนทำผิดวินัยร้ายแรง ไปขัดขวางการจัดซื้อจัดจ้างในระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งตนก็ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องเพราะเขาจัดซื้อกันที่บ้านโป่ง พอรู้ว่าตนไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่การจัดซื้อจัดจ้าง หรือไปควบคุมระบบ ก็ไปอ้างว่า “ลูกน้องของตน” ไปเกี่ยวข้องไปพัวพันกับตน ซึ่งมองว่ามันไม่แฟร์แล้วก็ไม่จบ ตนอยากให้ทางกระทรวงตรวจสอบเอกสารกว่าพันแผ่นว่า เรื่องมันมีมูลไหม? ที่มาที่ไปอย่างไร? การร้องเรียนร้องเรียนจากใคร? ที่มาที่ไปในการสร้างหน่วยมันถูกต้องหรือไม่?

ส่วนข้อหาที่ว่า ตนไปฮั้วประมูลการจัดซื้อจัดจ้าง ทำให้การประมูลไม่ถูกต้องนั้น ตอนนั้นเป็นการมูลในระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-bidding ซึ่งต้องถามว่า ตนมีอำนาจใหญ่โตถึงขนาดไปจับมือผู้ประมูลให้กดได้ด้วยหรือ? วันประมูลกันตนยังไปเดินป่าอยู่เลย ตอนนั้นมียุทธการตะเนาศรี ต้องอยู่ชายแดนตลอด ดังนั้น ที่กล่าวหาว่า ตนไปเอื้อประมูลตนก็ยังไม่รู้เลยว่า ตนไปเอื้ออย่างไรตอนไหน

“..เมื่อถูกกล่าวหา ก็ต้องหักล้างข้อกล่าวหา แต่เมื่อไม่ได้ทำอะไรผิด ต้องไปหักล้างเรื่องอะไร ก่อนจะชี้มูลความผิด มีการเปิดโอกาสให้ชี้แจง ก็ไปชี้แจงแล้วว่าไม่ได้ทำผิดอะไร การที่ระบุว่า ลูกน้องไปกระทำความผิด แล้วมันเกี่ยวอะไรกับตนด้วย ลูกน้องมี 300 คนรู้จักอีก 1,000 คน แล้วถ้าเขาไปกระทำความผิด ต้องเกี่ยวข้องกับผมด้วยหรือ? ความจริงแล้วการก่อสร้างหน่วยนั้น เป็นไปด้วยความยากลำบาก ผู้รับเหมาต้องเดินทางไปก่อสร้างในป่าเขาไกล ๆ โดยไม่ได้กำไร ถามว่ามีใครเขาอยากไปประมูลบ้าง ไอ้ที่เขาไปประมูลให้นี่คือบุญของแผ่นดินแล้ว…” นายชัยวัฒน์ กล่าว

ต่อข้อถามที่ว่าลูกน้องของ นายชัยวัฒน์ สมัยนั้นไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับเรื่องไม่ดีหรือไม่ นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ตอนนั้นตนคุยกับทางบริษัท ซึ่งเขาไม่อยากไปสร้างหน่วยให้เพราะมันไกลมาก แต่ตนบอกว่า หน่วยมีความจำเป็นเพราะลูกน้องต้องทำงาน ต้องการมีที่หลบแดดหลบฝน เขาเดินมาจากชายแดนมาจากที่อื่นต้องมีที่พัก จากนั้นทางบริษัทก็ไปประมูลให้ มีการก่อสร้างถูกต้อง แต่ถ้าหากเขาขนวัสดุเข้าไปไม่ได้ ตนก็ต้องหาทาง หารถขนส่งของให้ ทำยังไงก็ได้เพื่ออำนวยความสะดวกให้เขาเข้าไปก่อสร้างหน่วยได้ ถามว่าการอำนวยความสะดวกให้เขามันเป็นความผิดหรือ? เขาจ่ายเงินผมไหม เขาให้เงินผมไหม? ก่อสร้างงบ 3.6 ล้าน แค่ขนหินขนทรายเข้าไป เขาก็ไม่เอาแล้ว ถนนลึกเข้าป่า 13 กิโลเมตร แล้วช้างออกมาเดินช่วง บ่าย 3 โมง เขาทำงานได้แค่ครึ่งวัน ประมาณบ่าย 2 ก็ต้องออกจากหน่วยแล้ว ข้าวเที่ยงไม่ต้องกิน กินไม่ได้ เดี๋ยวโดนช้างรื้อหมด ทุกวันนี้หน่วยนี้กลายเป็นที่อยู่ของผู้พิทักษ์ป่าและสัตว์ป่า.