เมื่อวันที่ 27 ม.ค. กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย ผบช. ประจำ บช.ก., พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป., พ.ต.อ.พัฒนศักดิ์ บุปผาสุวรรณ, พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย, พ.ต.อ.วิระชาญ ขุนไชยแก้ว, พ.ต.อ.เผด็จ งามละม่อม รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.พงศ์ปณต ชูแก้ว ผกก.6 บก.ป., พ.ต.ท.อนุสรณ์ ทองไสย, พ.ต.ท.ศิลป์ชัย ถวัลย์ภิยโย, พ.ต.ท.กันตเมศฐ์ อัครโชควรานนท์, พ.ต.ท.วริศร มัจฉา รอง ผกก.6 บก.ป., พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ บุญทอง, พ.ต.ต.ธนาคาร อุชณรัศมี และ พ.ต.ต.จอมพฤทธิ์ แก้วเรือง สว.กก.6 บก.ป. ร่วมกันแถลงผลการจับกุม 3 ผู้ต้องหา ร่วมกันให้มีการติดตั้งอุปกรณ์ภายในบ้านพัก สำหรับเอื้ออำนวยแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงคนไทย

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม กก.6 บก.ป. ได้สนธิกำลังกองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาสและสถานีตำรวจภูธรสุไหงโก-ลก ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา จำนวน 3 ราย คือ 1.น.ส.ซารีนา (สงวนนามสกุล) อายุ 24 ปี 2.Mr.KIANG WAN อายุ 25 ปี สัญชาติมาเลเซีย และ 3.Mr.KUOK RONG อายุ 36 ปี สัญชาติมาเลเซีย ฐานความผิด ร่วมกันมี ใช้ และนำเข้าเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตและใช้คลื่นความถี่โดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันประกอบกิจการโทรคมนาคมโดยไม่ได้อนุญาต ตาม พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498, พ.ร.บ.ว่าด้วยการประกอบกิจการโทรคมนาคม ส่วนผู้ต้องหารายที่ 2 Mr.KIANG WAN สัญชาติมาเลเซีย ถูกแจ้งข้อหาเพิ่มเติมฐาน บุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามา และอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยสถานที่ตรวจค้น/จับกุม คือ บ้านเช่าในพื้นที่ ต.สุไหงโก-ลก อ.สุไหง-โลก จ.นราธิวาส จำนวน 3 จุด สามารถตรวจยึดของกลาง ดังนี้ 1.อุปกรณ์ “SIM BOX” หรือ “GSM Gateway” สำหรับ 32 ซิมการ์ด จำนวน 15 เครื่อง 2.เครื่องกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ต (Router WIFI) 3 เครื่อง และพยานหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยเครื่อง SIM BOX มีราคาตามท้องตลาดกว่า 100,000 บาท โดยกลุ่มผู้ต้องหาได้รับการว่าจ้างให้ติดตั้งทั้งหมด 5 จุด ได้รับค่าตอบแทนจุดละ 5,000 บาท

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวอีกว่า ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ระบาดอย่างหนักในสังคมไทย มีพี่น้องประชาชนโดนหลอกลวงเป็นจำนวนมาก ประเทศไทยได้สูญเสียเม็ดเงินต่อวันกว่าร้อยล้านบาท โดยกลุ่มแก๊งเหล่านี้มักจะตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ที่ชายแดนรอยต่อระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ประกอบกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีวิธีการหลอกลวงที่ปรับเปลี่ยนอยู่ตลอด การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็ต้องปรับให้เท่าทันและล้ำหน้าแผนประทุษกรรมของคนร้ายอยู่เสมอเช่นกัน ซึ่งหนึ่งในแผนประทุษกรรมยอดฮิตที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้เป็นประจำ คือ การโทรศัพท์เข้าหาผู้เสียหาย โดยอ้างตนว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐแล้วข่มขู่ว่าให้เหยื่อเชื่อว่าตัวเองกระทำผิดกฎหมาย หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมต่างๆ ใช้วิธีพูดจาหว่านล้อมจนผู้เสียหายตกใจกลัว จำใจยอมโอนเงินให้คนร้ายในที่สุด แม้ว่าทางรัฐบาลจะมีมาตรการต่าง ๆ ในการป้องกันหมายเลขโทรศัพท์แปลกปลอม การยืนยันตัวตนของผู้ลงทะเบียนซิมการ์ด รวมถึงการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชนแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีประชาชนอีกหลายคนที่ตกเป็นเหยื่อ ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) จึงได้ศึกษารูปแบบการกระทำความผิดของแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาต่อเนื่อง จนทราบว่า กลุ่มคนร้ายได้มีการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ที่ใช้โทรฯ หาผู้เสียหาย โดยมีการแยกเครื่อง “SIMBANK” สำหรับเสียบซิมการ์ดโทรศัพท์ที่เป็นของค่ายโทรศัพท์ในประเทศไทยไว้ที่หนึ่ง โดย SIMBANK จะตั้งอยู่ที่ในประเทศหรือต่างประเทศก็ได้ แต่จำเป็นต้องมีเครื่อง “SIM BOX” หรือ “GSM Gateway” ซึ่งเป็นอุปกรณ์แปลงสัญญาณอินเทอร์เน็ตเป็นสัญญาณมือถือ

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวต่อว่า SIM BOX แต่ละเครื่องมีช่องเสียบซิมการ์ดโทรศัพท์ จำนวน 32 ซิม แต่กลุ่มคนร้ายไม่ได้เสียบซิมการ์ดไว้ โดย SIM BOX จะถูกติดตั้งอยู่ในประเทศไทยหรือฝั่งชายแดนที่ติดต่อประเทศเพื่อนบ้าน โดยมี SIMBANK (สำหรับเสียบซิมการ์ด) และ SIM BOX (ไม่ต้องเสียบซิมการ์ด) จะเชื่อมต่อกันผ่าน Router โดยมี Cloud SIP Server เป็นตัวกลาง ดังนั้น เมื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรศัพท์จากต่างประเทศเข้ามาหลอกลวงผู้เสียหายคนไทย โดยใช้อุปกรณ์ดังกล่าว จะทำให้เห็นว่าเป็นหมายเลขโทรศัพท์ของประเทศไทย เพื่อหลบเลี่ยงมาตรการขึ้นหมายเลขหน้าเบอร์โทรฯ (Prefix) ของ กสทช. ทำให้ประชาชนโดยทั่วไปหลงเชื่อได้ง่าย ในแต่ละวันคนร้ายจะใช้อุปกรณ์เหล่านี้สุ่มโทรฯ หาผู้เสียหายวันละหลายแสนครั้ง โดยปกติอุปกรณ์ดังกล่าว ต้องขออนุญาตจาก กสทช. ส่วนใหญ่จะนำมาใช้ในธุรกิจ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวด้วยว่า ต่อมา กก.6 บก.ป. ได้สืบสวนจนทราบว่า ในพื้นที่ ต.สุไหงโก-ลก อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ชายแดนประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย มีการลักลอบติดตั้งอุปกรณ์ “SIM BOX” หรือ “GSM Gateway” เพื่อใช้โทรฯ มาหลอกลวงผู้เสียหายชาวไทยหลายราย จนเป็นที่มาในการเปิดปฏิบัติการ ปิดเมืองนราฯ ล่า SIM BOX ตัดเครื่องมือ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ชายแดนใต้ ห้วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา และจากการปฏิบัติการ สามารถจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 3 รายดังกล่าวข้างต้น พร้อมของกลาง ก่อนมีการนำส่งพนักงานสอบสวน กก.6 บก.ป. ดำเนินคดีตามกฎหมาย

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวถึงผลการสอบถามปากคำกลุ่มผู้ต้องหาเบื้องต้น ว่า มีผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ 2 ราย คือ น.ส.ซารีนา และ Mr.KIANG WAN ซึ่งให้การว่าทั้งคู่คบหาดูใจกัน และได้รับการว่าจ้างจากนายทุนชาวมาเลเซีย ให้ดูแลสถานที่ ซึ่งมีการติดตั้ง SIM BOX โดยส่วนใหญ่นายทุนชาวมาเลเซีย จะติดต่อคนไทยที่มีความสัมพันธ์กับคนมาเลเซีย ให้หาบ้านเช่า และติดตั้งสัญญาณอินเทอร์เน็ตในบ้านเช่า จากนั้นฝ่ายเทคนิคจะเข้ามาดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ให้ ผู้ต้องหาทั้งสองคนจะได้รับค่าจ้างเป็นค่าดูแลอุปกรณ์เป็นเงิน 5,000 บาท ต่อจุด ส่วนค่าเช่าบ้าน ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าน้ำค่าไฟ จะจ่ายต่างหาก ส่วน Mr.KUOK RONG ผู้ต้องหาอีกราย ยังคงให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา อ้างว่าตนเพียงโอนเงินให้ น.ส.ซารีนา ตามสั่งการของนายทุนชาวมาเลเซีย ส่วนตัวยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดแต่อย่างใด

ทั้งนี้ พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวปิดท้ายว่า ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ขอเตือนประชาชนทุกท่าน หากพบบุคคลต้องสงสัยมีพฤติกรรมน่าสงสัยหรือน่าเชื่อว่าได้มีการเช่าสถานที่เพื่อใช้การซุกซ่อนอุปกรณ์ SIM BOX หรือ ท่านใดพบเบาะแสหรือมีข้อมูลของขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สามารถแจ้งข้อมูลดังกล่าวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจใกล้บ้าน หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ให้ตรวจสอบ เพื่อดำเนินคดีกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้หมดไป เพราะหลังจากนี้ คณะพนักงานสอบสวนจะไปขยายผลต่อว่า แก๊งผู้ต้องหาถือเป็นแก๊งใหม่ แยกจากพวกแก๊งประเทศเพื่อนบ้านที่เคยถูกจับกุมหรือไม่ อย่างไร แม้รูปแบบการหลอกจะใกล้เคียงกันหมด แต่จะเชื่อมโยงกันในมิติใด เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบเพิ่มเติม.