ทั้งนี้การสำรวจดังกล่าวถูกจัดทำขึ้นเป็นปีที่สามติดต่อกัน โดยได้สอบถามความคิดเห็นของนักลงทุนและนักวิเคราะห์จำนวน 345 รายจาก 30 ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก และสัมภาษณ์เชิงลึกโดยผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนสถาบัน ประกอบด้วยผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอ 19%  นักวิเคราะห์ 18% และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน 17% แบ่งตามภูมิศาสตร์ ประเภทสินทรัพย์ และวิธีการลงทุน เพื่อหาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลกระทบมากที่สุดต่อบริษัทที่พวกเขาลงทุน

ผลสำรวจพบว่า แม้ว่าความกังวลด้านเศรษฐกิจมหภาคและเงินเฟ้อยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่สุด แต่ก็ได้ผ่อนคลายลงจากระดับสูงสุดในปี  65 ในขณะที่ในปี  66 ความกังวลด้านความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ (climate risks) เพิ่มขึ้นอย่างมาก เมื่อเทียบกับความเสี่ยงทางไซเบอร์ที่ 32%

ในขณะเดียวกัน การสำรวจได้แสดงให้เห็นถึงภูมิทัศน์การลงทุนที่ขับเคลื่อนด้วยการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี โดย 59% ระบุว่าการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีเป็นปัจจัยที่มีแนวโน้มมากที่สุดที่จะมีอิทธิพลต่อการสร้างมูลค่าของบริษัทต่าง ๆ ในอีกสามปีข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 61% กล่าวว่า การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence: AI) มาใช้เร็วขึ้นนั้นมีความ “สำคัญมาก” หรือ “สำคัญอย่างยิ่ง”

ความยั่งยืนยังคงเป็นหัวใจสำคัญสำหรับนักลงทุน โดย 75% กล่าวว่า วิธีที่บริษัทจัดการความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจลงทุน แม้ว่าจะลดลง 4% จากปีก่อนก็ตาม

“เรากำลังย้ายจากช่วงเวลาของการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความสำคัญของสภาพภูมิอากาศและการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ไปสู่ช่วงเวลาที่นักลงทุนถามคำถามเฉพาะเจาะจงและยากมากขึ้นเกี่ยวกับวิธีการที่บริษัทต่าง ๆ จัดการกับปัญหาเหล่านั้นในเชิงกลยุทธ์ รวมไปถึงวิธีที่พวกเขาประเมินความเสี่ยงและโอกาส และสิ่งสำคัญที่แท้จริงสำหรับธุรกิจ ซึ่งในบริบทนี้ การรายงานขององค์กรจำเป็นต้องมีการพัฒนาต่อไปเพื่อให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ สม่ำเสมอ และเปรียบเทียบได้แก่นักลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ สามารถพึ่งพาได้” นายเจมส์ ชาลเมอร์ส หัวหน้าสายงานตรวจสอบบัญชีระดับโลก PwC สหราชอาณาจักร กล่าว

นอกจากนี้ นักลงทุนยังได้เน้นย้ำถึงข้อสงสัยอันรุนแรงเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของการรายงานความยั่งยืนและข้อมูลที่พวกเขาใช้ ซึ่งเรียกกันว่“การฟอกเขียว” (greenwashing) โดยนักลงทุน 94% เชื่อว่า การรายงานขององค์กรเกี่ยวกับผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนมีการกล่าวอ้างที่ไม่มีหลักฐานสนับสนุนในระดับหนึ่ง เพิ่มขึ้นจาก 87% ในปี 65 รวมถึง 15% ที่คิดว่า คำกล่าวอ้างเหล่านั้นมีอยู่ในระดับ “สูงมาก” ขณะที่สัดส่วนที่กล่าวว่าการกล่าวอ้างที่ไม่ได้รับการสนับสนุนมีอยู่ในระดับปานกลางหรือมากกว่านั้น เพิ่มขึ้นหนึ่งเปอร์เซ็นต์จากปีก่อนที่ 79%

การตระหนักรู้เกี่ยวกับการฟอกเขียวเหล่านี้อาจอธิบายได้ว่า ทำไมนักลงทุนจึงมองหาหน่วยงานกำกับดูแลและผู้กำหนดมาตรฐานเพื่อสร้างความชัดเจนและความสม่ำเสมอในการรายงานของบริษัทต่าง ๆ โดยนักลงทุน 57% กล่าวว่า หากบริษัทปฏิบัติตามกฎระเบียบและมาตรฐานต่าง ๆ รวมถึงข้อบังคับด้านการรายงานความยั่งยืนขององค์กรในสหภาพยุโรป หรือการที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ของสหรัฐอเมริกา เสนอกฎการเปิดเผยสภาพภูมิอากาศในสหรัฐ และมาตรฐานสากลด้านความยั่งยืน (ISSB standards) ก็จะตอบสนองความต้องการข้อมูลของพวกเขาสำหรับการตัดสินใจในระดับ “สูง” หรือ “สูงมาก”

นอกจากนี้ นักลงทุน 85% กล่าวว่า การได้รับการตรวจสอบอย่างสมเหตุสมผล คล้ายกับการตรวจสอบงบการเงินจะทำให้พวกเขามีความมั่นใจในการรายงานความยั่งยืนในระดับ “ปานกลาง” “มาก” หรือ “มากที่สุด”

ทั้งนี้นักลงทุนยังให้ความสำคัญกับต้นทุนเพื่อปฏิบัติตามข้อผูกพันด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดย 76% พบว่าข้อมูลนี้สำคัญหรือสำคัญมาก โดยนักลงทุนต้องการข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบของบริษัทที่มีต่อสังคมหรือสิ่งแวดล้อม และในจำนวนนั้น 75% เห็นด้วยว่า บริษัทควรเปิดเผยมูลค่าทางการเงินของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือสังคม เพิ่มขึ้นจาก 66% ในปี 65

ด้าน นายชาญชัย ชัยประสิทธิ์ ประธานกรรมการบริหาร PwC ประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันนักลงทุนและภาคธุรกิจไทยตื่นตัวและตระหนักถึงผลกระทบด้าน ESG เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่บริษัทขนาดกลางถึงขนาดเล็กอาจจะยังขาดความเข้าใจเชิงลึกในส่วนของรายละเอียดของการจัดทำรายงานความยั่งยืนอยู่บ้าง ในขณะที่หน่วยงานกำกับดูแลก็ส่งเสริมให้บริษัทต่าง ๆ มีการจัดทำรายงานความยั่งยืนที่ได้รับการตรวจสอบอย่างสมเหตุสมผล เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนก่อนนำข้อมูลไปใช้

“ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า เราคาดว่าน่าจะเริ่มเห็นทั่วโลกเริ่มมีการตรวจสอบและการให้คำรับรองจากผู้ตรวจสอบก่อนที่จะมีการเปิดเผยรายงานความยั่งยืนภายหลังจากที่หน่วยงานกำกับของแต่ละประเทศมีการออกกฎระเบียบและมาตรฐานบังคับใช้ที่ชัดเจนแล้ว” นายชาญชัย กล่าว

ในส่วนของประเทศไทย ความต้องการรายงานความยั่งยืนของนักลงทุนต่างชาติที่เพิ่มขึ้นจะเป็นแรงผลักดันให้หน่วยงานกำกับออกกฎระเบียบข้อบังคับให้จัดทำรายงานที่เป็นไปในมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ทุก ๆ บริษัทจะต้องทำ คือ ศึกษาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลกระทบของ ESG ต่อธุรกิจ และมาตรฐานของการจัดทำรายงานความยั่งยืน ซึ่งหากธุรกิจไหนตื่นตัวก่อน และดำเนินการครอบคลุมทุก ๆ มิติของ ESG ก็จะมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่งรายอื่น แต่อย่างที่เราทราบดีว่า ไม่มีกลยุทธ์ความยั่งยืนไหนที่ one size fits all และจะต้องถูกผลักดันอย่างต่อเนื่องจากผู้บริหารระดับบนลงมาสู่ฝ่ายอื่น ๆ ในองค์กร.

ฟอกเขียว คืออะไร?

การฟอกเขียว  (Greenwashing)  เป็นรูปแบบการตลาดที่เจ้าของผลิตภัณฑ์อ้างว่ามีความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะในด้านการดำเนินงาน เป้าหมาย ผลิตภัณฑ์หรือบริการ แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของบริษัททั้งสิ้น

นอกจากนั้นเจ้าของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ชอบอ้างว่า ตัวเองนั้นไม่ได้สร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมเท่าไรนัก แต่ที่จริง สิ่งเหล่านี้ทำเพื่อจุดประสงค์เพิ่มผลกำไรเท่านั้น เพราะพวกเขารู้ว่าจะทำยอดขายได้ค่อนข้างดี ถ้าตัวสินค้านั้นมีส่วนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอยู่ด้วย

สำหรับการฟอกเขียวสามารถเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ ที่พบได้บ่อยที่สุดคือ การใช้คำอย่าง “ยั่งยืน” “สิ่งแวดล้อม” “Bio” “Eco” หรือ “วัสดุทางเลือก” เป็นวิธีที่ทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้เร็วที่สุด หลายผลิตภัณฑ์เลือกใช้คำที่คลุมเครือแทนที่จะทำให้สินค้านั้นมีส่วนที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง เช่น การระบุว่าสินค้าทำด้วย “วัสดุทางเลือก” ที่ทำให้เข้าใจว่าดีต่อโลก แต่ที่จริงอาจมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่สูงกว่าวัสดุแบบดั้งเดิม หรือมีการบิดเบือนผลลัพธ์ของนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม และอาจมีไปจนถึงการโกงการทดสอบที่เกี่ยวข้อง

จิตวดี เพ็งมาก
[email protected]