ทุก ๆ ปี คนไทยก็ยังต้องเผชิญฝุ่นพีเอ็ม 2.5 โดยเฉพาะช่วงปลายปี ซึ่งหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ตื่นตัวในการช่วยแก้ปัญหา คือ กลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นนํ้ามันปิโตรเลียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้ใช้เงินลงทุนรวมกว่า 50,000 ล้านบาท ปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพจากมาตรฐานนํ้ามันยูโร 4 ตามข้อกำหนดการบังคับใช้มาตรฐานนํ้ามันยูโร 5 ให้ทันวันที่ 1 ม.ค. 67 ตามข้อกำหนดของกรมธุรกิจพลังงาน

ก่อนอื่นอยากให้ทุกคนได้รู้จัก มาตรฐานยูโร (Euro) คืออะไร? กลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นนํ้ามันปิโตรเลียม ส.อ.ท. ได้อธิบายว่า เป็นมาตรฐานกำหนดการปล่อยมลพิษของยานพาหนะในประเทศแถบทวีปยุโรป โดยย่อมาจาก “Euro emissions standards” ซึ่งถูกกำหนดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2513 เพื่อกำหนดมาตรฐานการปล่อยมลพิษของยานพาหนะที่ใช้นํ้ามันเชื้อเพลิงในการสันดาป ไม่ให้เกินค่ามาตรฐานที่กำหนด นอกเหนือจากการกำหนดมาตรฐานของเครื่องยนต์แล้ว มาตรฐานคุณภาพนํ้ามันเชื้อเพลิงก็ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ถูกกำหนดควบคู่กับมาตรฐานเครื่องยนต์

โดยมาตรฐานนํ้ามันยูโร 1 ถูกประกาศใช้ครั้งแรกในปี 2535 ควบคู่ไปกับการควบคุมการปล่อยไอเสียของรถยนต์เพื่อควบคุมปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ สารไฮโดรคาร์บอน สารไนโตรเจนออกไซด์ อนุภาคและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (พีเอ็ม2.5) โดยมีการประกาศยกระดับมาตรฐานนํ้ามันยูโรมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันที่ประเทศในแถบยุโรป สหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่ประเทศในแถบเอเชียอย่าง จีน สิงคโปร์ หรือมาเลเซีย ได้เริ่มบังคับใช้มาตรฐานนํ้ามันยูโร 5 เพื่อแก้ไขปัญหาของพีเอ็ม 2.5

แล้วฝุ่นพีเอ็ม 2.5 เกิดจากสาเหตุอะไรบ้าง? คำตอบมาจากหลายสาเหตุ ทั้งไฟป่า เผาป่าเพื่อทำการเกษตร การก่อสร้างที่มาจากการขุดเจาะ การผลิตไฟฟ้าและการ ทำอุตสาหกรรมจากนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยการเผาปิโตรเลียมและถ่านหินเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า การคมนาคมจากควันท่อไอเสียและการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของเครื่องยนต์ และกิจกรรมอื่น ๆ เช่น สูบบุหรี่ จุดธูป เผากระดาษ เป็นต้น ดังนั้น มาตรฐานนํ้ามันยูโร 5 ที่มีข้อกำหนดหลักเพื่อใช้ควบคุม คือ ปริมาณกำมะถัน สารอะโรเมติกส์ และสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ลดการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม สามารถช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนได้ระดับหนึ่ง มีข้อมูลอ้างอิงในกลุ่มประเทศยุโรป อเมริกา หรือสิงคโปร์ มีคุณภาพอากาศที่ดีขึ้นหลังจากการบังคับใช้มาตรฐานการปล่อยมลพิษอย่างเข้มงวด

ประเทศไทยได้ยกระดับมาตรฐานนํ้ามันมาโดยตลอด โดยเริ่มบังคับใช้มาตรฐานนํ้ามันยูโร 1 ตั้งแต่ปี 2539 และในปัจจุบันคือมาตรฐานนํ้ามันยูโร 4 เมื่อปี 2555 เป็นต้นมา ประกอบกับภาครัฐมุ่งมั่น แก้ไข และลดผลกระทบของปัญหา PM2.5 นับตั้งแต่กำหนดเป็นวาระแห่งชาติที่ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เน้นการนำไปสู่ระดับปฏิบัติและลดผลกระทบต่อสุขภาพจากมลภาวะทางอากาศ และหนึ่งในแนวทางการจัดการ คือ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5)” เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2562 กำหนดมาตรการป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง รวมถึงแหล่งกำเนิดจากไอเสียของยานพาหนะ

โดยกำหนดมาตรการยกระดับมาตรฐานการระบายมลพิษจากรถยนต์ใหม่จากระดับยูโร 4 ให้เป็นยูโร 5 และยกระดับมาตรฐานคุณภาพนํ้ามันกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ และดีเซลหมุนเร็วจากระดับยูโร 4 ให้เป็นยูโร 5 โดยปรับลดปริมาณกำมะถันจากไม่สูงกว่า 50 เป็นไม่สูงกว่า 10 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (10 ppm) ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2567 เป็นต้นไป และนํ้ามันกลุ่มดีเซลจะต้องยกระดับมาตรฐานคุณภาพเพิ่มเติม ลดปริมาณสารโพลีไซคลิกอะโรมาติกส์ ไฮโดรคาร์บอน จากไม่ให้เกิน 11% เป็นไม่ให้เกิน 8%

ทั้งนี้กลุ่มโรงกลั่นฯ ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดการบังคับใช้มาตรฐานนํ้ามันยูโร 5 ลงทุนปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ใช้เงินลงทุนรวมกว่า 50,000 ล้านบาท พร้อมทั้งเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 4 ปี นับตั้งแต่วันที่ประกาศตามข้อกำหนดของกรมธุรกิจพลังงาน เพื่อให้ทันกับนโยบายภาครัฐที่กำหนดไว้ ท่ามกลางความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างมากมาย โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ความผันผวนด้านราคานํ้ามัน และการเปลี่ยนผ่านรูปแบบของการใช้พลังงาน เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น

กลุ่มโรงกลั่นฯ ได้ดำเนินการลงทุนก่อสร้างปรับปรุงหน่วยผลิตจนพร้อมจำหน่ายนํ้ามันเชื้อเพลิงมาตรฐานนํ้ามันยูโร 5 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2567 เป็นต้นไป มีต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการผลิตสูงกว่าการผลิตนํ้ามันมาตรฐานยูโร 4 ในปัจจุบัน จากการลงทุนเพื่อปรับปรุงระบบการกลั่นและการปรับชนิดของนํ้ามันดิบเป็นชนิดกำมะถันตํ่าเพื่อเข้าสู่กระบวนการกลั่น

ดังนั้นการปรับราคาจำหน่ายจึงควรสะท้อนมาตรฐานคุณภาพของนํ้ามันเชื้อเพลิงที่ดีขึ้น และเป็นไปในแนวทางเดียวกับตลาดนํ้ามันในภูมิภาคที่เชื่อมโยงกับตลาดโลก สร้างความมั่นคงด้านพลังงานอย่างยั่งยืน และสนับสนุนการใช้นํ้ามันเชื้อเพลิงมาตรฐานนํ้ามันยูโร 5 เพื่อช่วยลดปริมาณพีเอ็ม 2.5 ในอากาศและสารก่อมะเร็งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย.

จิตวดี เพ็งมาก