เมื่อวันที่ 4 ม.ค. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีตรองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ กล่าวถึงกรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ตอบโต้การอภิปรายของนายจุรินทร์ เมื่อวันที่ 3 ม.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งฉายาว่า “งบประมาณเป็ดง่อย” พร้อมบอกว่าการทำงานของนายจุรินทร์ 4 ปี เทียบกับนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ที่ทำงาน 1 ปี ไม่ได้ ซึ่งรวมถึงเรื่องการเปิดเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ว่า นายกรัฐมนตรีฟังไม่ได้ศัพท์มากกว่า เพราะการอภิปรายของตน เมื่อวันที่ 3 ม.ค. ที่ผ่านมา ไม่ได้พูดถึงกระทรวงพาณิชย์ แต่พูดถึงร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ว่าเหมือนงบเป็ดง่อย เพราะมีเวลาใช้งบประมาณนี้เพียง 5 เดือน จากงบประมาณ 3.48 ล้านล้านบาท ซึ่งตามปกติ ประสิทธิภาพการใช้งบลงทุนซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เรามีประสิทธิภาพแค่ 70 เปอร์เซ็นต์ แต่ในเมื่อระยะเวลาเหลือ 5 เดือน คือ 40 เปอร์เซ็นต์ของเวลาทั้งหมด สุดท้ายงบประมาณฉบับนี้จะกลายเป็นงบเป็ดง่อย ไม่สามารถนำไปสู่การกระตุ้นจีดีพีได้ตามเป้าหมาย ขณะที่ตนไม่ได้วิจารณ์ในเรื่องอื่นๆ ของงบเป็ดง่อย ส่วนการที่นายกรัฐมนตรีมาพูดถึงกระทรวงพาณิชย์นั้น ตนมองว่า นายกฯ อาจปากไว พูดไวไปหน่อย

“ที่ท่านนายกฯ บอกว่าอยู่ 1 ปี แต่ทำมากกว่าผม 4 ปี ไม่เป็นไร เพราะผมไม่ได้วิจารณ์กระทรวงพาณิชย์ แต่ที่นายกรัฐมนตรีพูดถึงเรื่องเอฟทีเอ ผมยืนยันเลยว่า ในยุคที่ผมเป็น รมว.พาณิชย์ เราทำเอฟทีเอเยอะที่สุดยุคหนึ่ง” นายจุรินทร์ กล่าว

นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า นับตั้งแต่การทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรืออาร์เซ็ป (RCEP) สำเร็จในรัฐบาลชุดที่แล้ว ซึ่งขณะนั้นตนทำหน้าที่เป็นประธานรัฐมนตรีเศรษฐกิจ 15 ประเทศ ทำให้อาร์เซ็ปบังคับใช้ได้ ซึ่งเป็นเอฟทีเอที่ใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังมีเอฟทีเอระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป (อียู) ซึ่งตนไปเจรจากับรัฐมนตรีต่างประเทศของอียูด้วยตัวเอง และประกาศร่วมกันว่า เราจะนับหนึ่งในการดำเนินการเอฟทีเอ เพื่อนำไปสู่การประกาศใช้ต่อไป ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่มีความคืบหน้าเป็นรูปธรรม ขณะเดียวกันยังมีเอฟทีเอระหว่างไทยกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ภูมิภาคตะวันออกกลาง และการนับหนึ่งการเจรจาทำเอฟทีเอระหว่างไทยกับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA) ที่มี 4 ประเทศ คือ ไอซ์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ นอร์เวย์ อีกทั้งมีการลงนามการจัดทำบันทึกความเข้าใจด้านความร่วมมือทางการค้า หรือ มินิ เอฟทีเอ อย่างน้อย 7 ฉบับ

“ผมเป็นเซลส์แมนประเทศตัวจริงในขณะนั้น ซึ่งเป็นคำที่นายกรัฐมนตรีนำมาใช้ขณะนี้ ตนใช้มาก่อน พร้อมออกตัวว่าถ้าพูดเรื่องเอฟทีเอ ผมไม่ขอวิจารณ์ รมว.พาณิชย์คนใหม่ แต่ถ้านายกรัฐมนตรีมาบอกว่า 4 ปี ผมมีผลงานน้อยกว่า รมว.พาณิชย์คนใหม่ ผมคิดว่าท่านต้องระวังเรื่องข้อมูล ไวไปมันไม่คุ้มหรอกครับ เดี๋ยวจะไปสร้างความเสียหายเหมือนกับประเด็นที่เคยเป็นมา ขอยืนยันว่าไม่ตั้งใจตอบโต้ แต่ชี้แจงให้เข้าใจ ส่วนรัฐบาลนี้มาทำงาน 3 เดือนกว่า แต่นายกรัฐมนตรีบอกว่า 1 ปีนั้น เป็นสิ่งที่นายกฯ จะต้องระมัดระวังในการให้ความเห็น การคิดเร็ว พูดเร็ว ไม่อยากใช้คำว่าปากไว เพราะผมก็ให้เกียรติท่าน” นายจุรินทร์ กล่าว