กลับมาเป็นที่สนใจอย่างมากอีกครั้งสำหรับอดีตนางเอกชื่อดังยุค 90 อย่างสาว ต่าย สายธาร ที่ล่าสุดคุณแม่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ซึ่งเจ้าตัวก็ได้ออกมาตัดพ้อหนักมากว่ากลับไปเยี่ยมไม่ได้เพราะว่าอยู่ในช่วงของสถานการณ์โควิดระบาด พร้อมเคลียร์ชัดหลังโดนจวกแรง สร้างภาพเป็นคนใจบุญ แต่ไม่กลับไปหาแม่ที่ป่วยหนัก แถมเคราหะห์ซ้ำ กรรมซัด ตัวเองตรวจพบเนื้องอกที่มดลูกและเต้านมอีก โดยสาวต่ายเล่าเรื่องราวผ่านรายการคุยแซ่บ SHOW ชัดเจนว่า

“อาการคุณแม่ครั้งแรกที่คุณแม่เข้าโรงพยาบาลรอบนี้นะก็คือว่าท่านเหนื่อยมากแล้ว เหมือนหายใจแล้วก็วันนั้นทางญาติเขาก็โทรมาประโยคแรกคือจะปั๊มไหม ต่ายเชื่อว่าถ้าทุกคนได้ยินคำนี้ทุกคนจะนึกภาพว่าแม่ต่ายนอนอยู่บนที่นอน เพื่อที่จะทำการ CPR ถูกไหม แต่ทีนี้ด้วยความที่เราได้ยินเราก็ตกใจเหมือนกัน ขนาดเป็นกู้ชีพนะ ปกติก็ปั๊มคนอื่นนะ แต่พอมาเป็นตัวเราจริงๆ ตกใจมากทำอะไรไม่ถูก ปั๊มๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วตรงนั้นคือ ก่อนที่จะทำหัตถการคุณหมอต้องถามก่อน จริงๆ แล้วไม่ได้หมายความว่าแม่ต่ายนอนอยู่บนเตียง แล้วก็อยู่ ICU เพื่อที่กำลังจะปั๊ม ไม่ใช่ แต่หมายถึงว่าในกรณีที่ถ้าเกิดเคสที่เป็นผู้ป่วยมาแบบนี้ การทำ CPR หรืออะไรเขาจะโทรถามญาติก่อน แต่ ณ วันนั้นอาจจะด้วยความที่ญาติหรือลูกสาวตกใจ โทรฯ มาอย่างนี้มันก็ทำให้หัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มแล้ว วันนั้นตกใจมาก บอกเลยว่าชาไปหมดนึกอะไรไม่ออกสักอย่าง จนค่อยๆ ได้คุยกับทางคุณหมอหรืออะไรเราถึงเข้าใจ ตอนนั้นคุณแม่ยังไม่นอนติดเตียงแล้วก็เป็นความดัน เบาหวาน ข้อเข่า ก็เป็นมาสักพักนึง ทีนี้มามีโรคเพิ่มก็คือโรคหัวใจ”

“ทีนี้พอเจอมะเร็งมันหนักเพราะว่าแม่อายุมากแล้วด้วย แล้วหลังจากแม่เป็นโรคหัวใจ แม่ก็ป่วยติดเตียง อันนี้ต้องขออธิบายนิดนึงนะคะ ไม่ใช่ว่าแม่ป่วยหนักมา 2 ปีแล้วไม่ได้ไปเยี่ยม ไม่ใช่ แม่เพิ่งมาติดเตียงประมาณ 6 เดือน ในช่วงโควิดหนักๆ เราเองมันต้องเข้มแข็ง เราต้องดูแลคนอีกเยอะมาก ตัวพี่ต่ายนอกจากครอบครัวแล้วมันยังมีอีกหลายชีวิตที่พี่ต่ายต้องดูแลอยู่ บางทีบอกตัวเองเป็นสายธารต้องอดทน สิบล้อชนต้องไม่ตาย ก็พูดไปเล่นๆ แต่จริงๆ ตายตั้งแต่ข้างถนนแล้ว อย่างเรื่องคอมเมนต์ด่ามันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เรื่องของครอบครัว ความรู้สึกของแม่ แม่ก็อยากเจอลูก ลูกก็อยากเจอแม่ ตลอดระยะเวลาที่เข้าวงการมา พูดได้เลยว่าต่ายทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว กล้าพูดเลยว่าไม่เคยที่จะทิ้งพ่อ ทิ้งแม่ หรือว่าอะไร แล้วก็อย่างคอมเมนต์ต่างๆ ต่ายไม่ได้โกรธนะคะ อันนี้เรียนด้วยความเคารพ แต่ต่ายแค่อยากจะบอกคุณว่ามันมีหลากหลายร้อยล้านพันคำที่คุณสามารถเขียน กำลังใจมันให้กันไม่ยากเลยนะ ต่ายเป็นคนใจเขาใจเรา บางคำพูดเขาอาจจะเข้าใจว่าทำไมไม่ไปดูแลแม่เลย เรามองมุมอย่างนี้นะ เขาอาจจะหวังดีก็ได้ว่าทำไมไม่ไปดูแลแม่ แต่สิ่งที่ต่ายอยากจะออกมาพูดวันนี้ ต่ายไม่ได้จะบอกว่าฉันเป็นคนดีฉันกตัญญู ไม่ต้องเรารู้ว่าเราทำอะไร”

ต่าย เล่าต่อว่า “แต่สิ่งที่คุณอาจจะเข้าใจผิดนั่นก็คือในเรื่องของโรคโควิด เพราะว่ามันมีเคสเกิดขึ้นมาแล้วว่าคนแก่คนนึงที่เขาป่วย เขาเป็นโรคอย่างอื่น ทีนี้มีน้องคนนึงกลับไปแล้วไปเยี่ยมคุณยาย ปรากฎว่าคุณยายติดโควิดจากน้อง คือต่ายประเมิน ต่ายเป็นกู้ชีพ ต่ายรู้ และทุกอย่างการที่เดินทางไป มันไม่ใช่ไปวันนี้ ณ ตอนนี้หรืออะไร ต่อให้ ณ วันนี้แม่ต่ายไม่อยู่แล้วหรืออะไรก็ตามแต่ คุณหมอห้ามเยี่ยม เพราะว่าในเรื่องของการติดเชื้อ แล้วเราอยู่ในพื้นที่สีแดง แล้วลูกต่ายก็อยู่ในพื้นที่สีแดง แล้วช่วงนั้นคลัสเตอร์เชียงใหม่หนักมาก เพราะฉะนั้นการที่เราจะไปมันต้องกักตัว ไม่มีประโยชน์ พี่ต่ายขอเอาเวลาที่กักตัว เอามาทำประโยชน์มาช่วยผู้ป่วยที่เป็นโควิดอยู่ตรงนี้ดีกว่า แล้วก็วีดิโอคอลกับแม่ เพราะว่าตอนนั้นแม่ก็ไม่ได้หนักแบบนี้ อย่าง ณ วันนี้ ถ่ายรายการเสร็จต่ายก็ต้องไปแจกของต่อ”

“อย่างทำบุญสร้างภาพเหมือนกัน จริงๆ เราไม่จำเป็นต้องมาอธิบายให้ใครรู้หมดทุกคนหรอก แต่ถ้าใครไม่มายืนอยู่ตรงจุดที่พี่ต่ายอยู่ก็คงไม่เข้าใจ ก็ปกติเวลามีข่าวไม่ค่อยได้อะไร ไม่สนใจอยู่แล้ว ใครจะเขียนอะไรก็แล้วแต่ ก็ต้องขอบคุณนะคะ คิดซะว่าเขาเป็นห่วง แต่อย่างนึงที่ต่ายอยากจะบอกก็คืออยากให้ทำความเข้าใจซะใหม่ว่าทำไมต่ายถึงไม่ไป ทุกอย่างมันมีขั้นตอนในการที่เราจะเดินทาง และในการเสี่ยงที่เราจะเอาเชื้อไปติดคุณแม่ อย่างสมมติว่าคนที่คอมเมนต์เรามีผู้ป่วยอยู่ที่บ้าน บางคนบอกว่าต่อให้มีโรคอะไรก็แล้วแต่ฉันจะไปหาแม่ฉัน คือแทนที่แม่จะป่วยแค่โรคที่เป็นอยู่กลายเป็นว่าเอาโควิดไป จำไว้นะคะแม่ต่ายเป็นมะเร็ง แล้วแม่ต่ายจะเกิดอะไรขึ้นก็แล้วแต่ในวันนึงไม่มีคุณแม่ เรายังมีโอกาสได้ไปกราบแม่ ขอโทษนะคะ พูดตรงๆ ได้ไปงานศพ แต่ถ้าเป็นโควิดคุณจะมีโอกาสได้กราบแม่ไหม เพราะฉะนั้นตรงนี้ถ้าคุณเข้าใจในสิ่งที่ต่ายอธิบายแล้ว ต่ายเรียนด้วยความเคารพจากใจจริงๆ คุณอย่าไปเขียน ไปบอกคนอื่นแบบนี้ ก่อนที่คุณจะเขียนอะไรออกไปใจเขาใจเรา เพราะว่าความเข้มแข็ง อดทนของแต่ละคนไม่เท่ากัน คำพูดสำคัญ ต่ายบอกเลยว่าตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากำลังใจแล้ว แล้วก็ต้องขอบคุณแฟนคลับและเพื่อนๆ ทุกคน จริงๆ น้ำหนักของกำลังใจมันเยอะมาก แต่มาตรงนี้มันบั่นทอนนิดนึง”

“ส่วนเรื่องตรวจพบเนื้องอก ตอนแรกเจอที่มดลูกก่อน แล้ว 2-3 วันนี้ไปเจอที่ใต้ราวนมอีก แต่ตรงนี้คุณหมอขอดูอีกที ทีนี้คุณหมอก็ถามว่าต่ายจะขูดมดลูกหรือว่าจะตัดทิ้ง เอาตรงๆ ก็กลัว มีความรู้สึกว่าเก็บไว้ก่อน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเก็บไว้ทำไม แฟนก็ไม่มี ก็เป็นผู้หญิงก็คิดว่าอยากมีลูก แต่ด้วยวัยอะไรอย่างนี้ เราอาจจะแค่หลอกตัวเองก็ได้อยากมีมดลูกไว้ก่อน คุณหมอก็บอกว่าไม่เป็นไรนะถ้าจะขูด ค่อยรักษากันต่อไป เพราะว่าต่ายมีเลือดจาง ค่าเลือดลบ 0 อย่างนี้ เราก็ไม่รู้นะถ้าเราไม่ไปเช็กร่างกาย เราไม่รู้เลยว่าตัวเราเป็นอะไร พอไปหาถึงรู้ว่าเป็นอย่างนี้ ความดันเรา 150-160 เลยเหรอ ซึ่งเลือดออกเยอะ แล้วออกมาเป็นก้อนใหญ่มาก คือเราจะรู้เลยว่ามันผิดปกติแล้ว คุณแม่ก็ไม่รู้ ลูกสาวก็เพิ่งรู้ก็ไม่ได้บอกใคร เราเองก็คิดเผื่อไว้บ้างว่าจะกลายเป็นเนื้อร้าย กับตัวเองเอาตรงๆ ข้อเสียมันไม่นึกถึงตัวเอง แต่ตอนนี้ต้องกลับมาดูแลตัวเอง เพราะว่าถ้าเราดูแลตัวเองดีๆ เราจะได้มีโอกาสดูแลคนอื่นอีกหลายคน”

ต่ายเล่าอีกว่า “เรื่องรวมๆ กันหนัก 5 กิโลไหม ไม่แน่ใจ วันนั้นไม่ได้ถามเห็นแล้วก็หันหน้าหนี คุณหมอก็ถามว่าตัดมดลูก เราไม่กล้าตัด กลัว พอตรงนั้นเสร็จก็มาตรงนี้อีก ตรงนี้มันมาเจอเป็นเม็ดเล็กๆ ที่เต้านม คุณหมอกลัวเราจะเฟล เขาบอกว่าตรงนี้ยังไม่ต้องห่วง เอาตรงนี้ก่อน ห่วงตรงท้องมากกว่า เป็นเนื้องอกที่มันใหญ่ เมื่อ 10 ปีที่แล้วเคยเป็นซีสต์ คุณหมอให้รักษาด้วยการทานยาแล้วก็รักษาไป ตอนนั้นที่เป็นคือประจำเดือนไม่มาเลย แต่รอบนี้มันเกี่ยวกับวัยเราและฮอร์โมน บางคนก็บอกว่าตัดไปเลยถ้าไม่มีลูก ก็แอบหลอกตัวเองว่าไม่แน่อาจจะมีก็ได้นะ แต่เราก็มีลูกของเราอยู่แล้ว”