รายงานข่าว จากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) เปิดเผยว่า บก.ปอศ. เดินหน้าประสานความร่วมมือกับองค์กรธุรกิจและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดการกับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับกรณีการใช้ซอฟต์แวร์ที่ผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าองค์กรต่าง ๆ เข้าใจหน้าที่และความรับผิดชอบ ในการปฏิบัติตามกฎหมายไทยอย่างเคร่งครัด ความร่วมมือเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนากลยุทธ์ แบ่งปันข้อมูลเชิงลึก และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับความสำคัญของการปฏิบัติตามข้อกำหนดของซอฟต์แวร์แก่ภาคธุรกิจของไทย

“ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 66 บก.ปอศ. เข้าจับกุมบริษัทที่ใช้ซอฟต์แวร์ผิดกฎหมายจำนวน 104 แห่ง โดยพบการใช้ซอฟต์แวร์ผิดกฎหมายกว่า 500 รายการ รวมมูลค่าละเมิดลิขสิทธิ์สูงกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งการจับกุมล่าสุดนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายสำคัญของ บก.ปอศ. ในการเดินหน้าปราบปรามและต่อต้านการใช้ซอฟต์แวร์ผิดกฎหมายทั่วประเทศ ท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบันที่อาชญากรรมทางไซเบอร์ยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง และพุ่งเป้าโจมตีองค์กรที่มีช่องโหว่ทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอื่น ๆ ทั่วโลก”

ทั้งนี้ในปี 65 ที่ผ่านมา บก.ปอศ. ได้เข้าดำเนินคดีกับองค์กรธุรกิจที่ต้องสงสัยว่าใช้ซอฟต์แวร์ผิดกฎหมายรวม 272 ราย โดยพบว่าองค์กรเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่ในแวดวงอุตสาหกรรมวิศวกรรม การก่อสร้าง และการออกแบบ ซึ่งใช้ซอฟต์แวร์ผิดกฎหมายในการออกแบบอาคารและโครงการพื้นฐานสำคัญทั่วประเทศ ได้แก่ ซอฟต์แวร์ Autodesk, Dassault Systems, Siemens และอื่น ๆ อีกมากมาย

อย่างไรก็ตามนับว่าเป็นเรื่องค่อนข้างน่าตกใจ ที่ 80% ขององค์กรที่ถูกจับกุมโดย บก.ปอศ. ไม่ได้จัดซื้อซอฟต์แวร์ที่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาของไทยอย่างชัดเจน และถือเป็นคดีอาญา ในขณะที่อีก 20% ขององค์กรที่ถูกจับกุม มีการใช้ซอฟต์แวร์ที่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิอย่างไม่ถูกต้องครบถ้วน ซึ่งหมายถึงองค์กรเหล่านี้มีจำนวนซอฟต์แวร์ที่ถูกลิขสิทธิ์เพียงไม่กี่ไลเซนส์ และมีการทำซ้ำ ทำสำเนาซอฟต์แวร์ที่ผิดกฎหมายอีกมากมาย

เมื่อธุรกิจหรือองค์กรใช้ซอฟต์แวร์ที่มีช่องโหว่ดังกล่าว ระบบต่าง ๆ ในองค์กรก็เสี่ยงที่จะถูกโจมตีได้โดยง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่บริษัทเหล่านี้มีส่วนร่วมในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ มันจะไม่เพียงแต่เป็นอันตรายต่อการดำเนินงานและข้อมูลของบริษัทเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดความเสี่ยงที่สำคัญต่อความปลอดภัยของสาธารณะด้วย ดังนั้นการปฏิบัติตามข้อกำหนดการใช้งานซอฟต์แวร์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย จึงไม่ใช่แค่ภาระผูกพันทางกฎหมายเท่านั้น แต่ถือเป็นขั้นตอนพื้นฐานที่องค์กรธุรกิจควรทำเพื่อปกป้องธุรกิจของพวกเขา และที่สำคัญที่สุดคือการปกป้องความปลอดภัยของโครงสร้างพื้นฐานและประชาชน ต่อภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น