เมื่อวันที่ 18 ก.ย. ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. เปิดเผยหลังจากร่วมประชุมกับหน่วยงาน 11 หน่วยงาน ภายใต้สังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อเร่งดำเนินคดีที่ พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว ตำรวจทางหลวง ถูกยิงเสียชีวิตระหว่างงานเลี้ยงในบริษัทของนายประวีณ จันทร์คล้าย หรือ กำนันนก เนื่องจากรับโอนคดีจากสภ.เมืองนครปฐม มาดำเนินคดีต่อที่ตำรวจสอบสวนกลาง

พล.ต.ท.จิรภพ ระบุว่า คดีนี้ตำรวจสอบสวนกลางรับคดีฆาตกรรม และคดีละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา 157 ของตำรวจที่อยู่ในเหตุการณ์มาสอบสวนต่อแล้ว เนื่องจากพบว่าเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับผูัมีอิทธิพลในพื้นที่ เหตุอุกอาจ การก่อเหตุอุกฉกรรจ์ คดีมีความซับซ้อน หากคดีถึงชั้นอัยการและศาลในพื้นที่แล้ว อาจจะทำให้มีอิทธิพลของคนในพื้นที่มากดดันการทำงานได้ โดยคดีนี้จะดำเนินการสืบสวน และสอบสวนต่อเนื่องจากตำรวจภูธรภาค 7 ไม่ได้เป็นการรื้อคดีใหม่ เช่นเดียวกับคดีละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ของตำรวจที่อยู่ในเหตุการณ์ หลังจากดำเนินคดีไปแล้ว 6 นาย ขณะนี้กำลังพิจารณาพยานหลักฐานให้ครบถ้วนก่อนว่าตำรวจนายใด มีพฤติการณ์ช่วยเหลือผู้ต้องหาหรือไม่

โดยจะพิจารณาใน 2 ประเด็น คือ ตามข้อเท็จจริง ในขณะเกิดเหตุเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทั้งก่อน ขณะ และหลังเกิเหตุ และประเด็นข้อกฎหมาย ต้องไปสอบถามกับพนักงานสอบสวน โดยจะพิจารณาว่าพฤติการณ์ใดบ้างที่จะเข้าข่ายผิดในข้อกฎหมายนี้ เช่น ในระหว่างเกิดเหตุ มีตำรวจนายใดโทรศัพท์แจ้งเหตุ นำตัวผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล หรือออกจากที่เกิดเหตุทันที ซึ่งก็จะเป็นไปได้หลายแนวทางข้อเวลาให้ตำรวจสอบสวนก่อน ซึ่งหากพบใครผิดก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายทั้งหมด

สำหรับกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุ พบว่าในที่เกิดเหตุมีทั้งหมด 15 ตัว ซึ่งมีรายละเอียดเยอะมาก ซึ่งหากใครมีความผิดหรือไม่ผิดก็จะต้องตรวจสอบในกล้องวงจรปิดประกอบ แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะมีการออกหมายจับตำรวจเพิ่มเติมหรือไม่

อย่างไรก็ตามตำรวจพิสูจน์หลักฐานนำไปกู้ภาพมาทั้งหมด 15 ตัว พบว่ามี 1 กล้องที่ถือว่าเป็นจุดสำคัญที่จะเห็นในช่วงเวลาเกิดเหตุได้ แต่กล้องหยุดบันทึกในเวลาประมาณ 10.00 น. ทำให้ไม่เห็นภาพในขณะเกิดเหตุจริง ซึ่งมีการตั้งข้อสันนิษฐานไว้ 2 ประเด็น คือ เจ้าของบ้านหยุดเวลาของกล้องนี้ไว้ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ และมีการทำลายหลักฐานหลังเกิดเหตุ ซึ่งกำลังตรวจสอบ แต่เชื่อว่าส่วนตัวของอดีตกำนันนก ไม่น่าจะมีความรู้ในการลบภาพในกล้องวงจรปิด เพราะการนำเซฟเวอร์กล้องไปทิ้งใช้เวลาไม่นาน ไม่น่าจะลบได้ จึงเชื่อว่าไม่น่าจะมีคนลบภาพในช่วงเวลาดังกล่าว แต่หากว่าไม่มีภาพวงจรปิดในขณะเกิดเหตุ ก็ยังมีหลักฐานอื่นประกอบการดำเนินคดีได้อย่างแน่นอน

ส่วนกรณีที่พบว่ามี พ.ต.ท.ภทร วรญาวิศุทธิ์ หรือ สารวัตรไอซ์ พาแฟนไปร่วมงานด้วย และจังหวะที่เกิดเหตุได้พาแฟนไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งกล้องวงจรปิดจับได้ว่าสารวัตรไอซ์ ยกปืนขึ้นมาหลังจากได้ยินเสียงปืน แต่ไม่ได้ยิงไปที่บุคคลใด หรือเข้าไประงับเหตุ เนื่องจากอยู่ห่างจากจุดเกิดพอสมควร จึงอาจไม่เข้าข่ายผิดข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ฯ