นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ในฐานะรัฐมนตรีประจำกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม (Mekong-Japan Economic and Industrial Cooperation Initiative: MJ-CI) เปิดเผยภายหลังเข้าร่วมประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ 13 (The 13th Mekong-Japan Economic Ministers Meeting: 13th MJ-EMM) ในรูปแบบการประชุมทางไกลว่า การประชุมครั้งนี้มีรัฐมนตรีที่รับผิดชอบด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมและการลงทุนจาก 5 ประเทศ รมว.เศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม (METI) ของญี่ปุ่น เลขาธิการอาเซียน ผู้แทนภาคเอกชนประเทศลุ่มแม่น้ำโขงและญี่ปุ่น และคณะกรรมการความร่วมมือทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมอาเซียน-ญี่ปุ่น (AEM-METI Economic and Industrial Cooperation Committee: AMEICC) ซึ่งเป็นฝ่ายเลขานุการ เข้าร่วมการประชุม
นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า กรอบความร่วมมือ MJ-CI นี้ เป็นการสนับสนุนบทบาทของญี่ปุ่นด้านการเชื่อมโยงห่วงโซ่ การผลิตของอุตสาหกรรมที่เป็นฐานการผลิตของญี่ปุ่น เช่น ยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงอุตสาหกรรมที่ต่อยอดให้ห่วงโซ่มูลค่าในญี่ปุ่น เช่น อุตสาหกรรมอาหารและท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการบริการสำหรับผู้สูงอายุ รวมทั้งมุ่งเน้นการเชื่อมโยงห่วงโซ่มูลค่าตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor: EWEC) และแนวระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ (Southern Economic Corridor: SEC) เป็นหลัก
นายศักดิ์สยาม กล่าวอีกว่า ที่ประชุมได้รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานภายใต้ยุทธศาสตร์ Mekong Industrial Development Vision (MIDV) ระยะที่ 2 ปี 62-66 ที่มุ่งเน้นพัฒนาในอนุภูมิภาคภายใต้ 3 เสาหลัก ได้แก่ 1.การเชื่อมโยง (Connectivity) โครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ และกฎระเบียบเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรม 2.นวัตกรรมเชิงดิจิทัล (Digital Innovation) การยกระดับอุตสาหกรรมผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล และ 3.การดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และการพัฒนาอย่างยั่งยืน
นายศักดิ์สยาม กล่าวอีกว่า ได้กล่าวแสดงความชื่นชมประเทศญี่ปุ่น และประเทศในลุ่มแม่น้ำโขงในความพยายามเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการเชื่อมต่อห่วงโซ่มูลค่าทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างกันไม่ให้ขาดช่วง ถึงแม้จะอยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พร้อมแสดงเจตจำนงของไทยในความพยายามที่จะเชื่อมต่อห่วงโซ่มูลค่ากับประเทศเพื่อนบ้าน และอำนวยความสะดวกการลงทุนของญี่ปุ่น ตามหลักการ Thailand +1 โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสนับสนุนการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมอย่างไร้รอยต่อ ทั้งภายในอนุภูมิภาค และสู่ภูมิภาคอื่นๆ ผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งเชิงกายภาพ และด้านกฎระเบียบ
โดยมุ่งเน้นเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมกับเขตเศรษฐกิจพิเศษตามชายแดนในแนวระเบียงเศรษฐกิจ และมีแผนจะเชื่อมโยงกับระบบการขนส่งทุกรูปแบบกับประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ โครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟรางคู่ และทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองแนวเหนือ-ใต้ และแนวตะวันออก-ตะวันตก ตามแผนพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองและระบบราง (Motorway-Rail Map: MR Map) 9 เส้นทาง และโครงการสะพานเศรษฐกิจ (Land Bridge) ทางภาคใต้ เชื่อมโยงทะเลฝั่งอ่าวไทย และฝั่งอันดามัน มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมุ่งเน้นเสริมสร้างคุณภาพของคนไทย และแรงงานให้มีความสามารถเชิงดิจิทัลมากขึ้น รองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า ในการนี้ได้ขอให้ญี่ปุ่นมีบทบาทนำในการถ่ายทอดเทคโนโลยี และองค์ความรู้การนำใช้ IoTs /Smart Devices /Cloud Computing ให้แก่ประเทศสมาชิก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม Champion ของญี่ปุ่นในอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง รวมถึงการแสดงเจตจำนงของไทยในความพยายามที่จะขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ผ่านแนวนโยบายการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นศูนย์ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ เพิ่มการนำใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงคมนาคม ที่มีเป้าหมายหลักในการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน เสริมสร้างความแข็งแกร่งของห่วงโซ่อุปทาน เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและยั่งยืน และนำไปสู่ “การสร้างใหม่ให้ดีกว่าเดิม” โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง.