ส่งผลให้เกิดการซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตผ่านกลไกตลาดคาร์บอน เพื่อให้ธุรกิจที่มีการปล่อยคาร์บอนสูงสามารถซื้อคาร์บอนเครดิต เพื่อชดเชยการปล่อยคาร์บอน (เสมือนผู้ซื้อได้ดำเนินการลดจำนวนคาร์บอน) เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ในปี 63 ที่ผ่านมาตลาดคาร์บอนแบบภาคสมัครใจ มีมูลค่าสูงถึง 1,980 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ในปี 73 คาดว่ามูลค่าตลาดจะสูงถึง 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ความต้องการคาร์บอนเครดิตอาจมีมูลค่าสูงถึง 30,000-50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพราะปัจจุบันการซื้อขายคาร์บอนเครดิต เริ่มเป็นที่นิยมในหลายประเทศ

พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์

ยกตัวอย่างเช่น สหภาพยุโรป (EU) ถือเป็นหนึ่งในตลาดคาร์บอนใหญ่ที่น่าสนใจ โดยระบบการซื้อขายใบอนุญาตปล่อยก๊าซเรือนกระจกของยุโรป มีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่อนุญาตให้ปล่อยได้ โดยมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างภูมิภาคกว่า 15,000 ล้านตัน และยังบังคับใช้มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon border Adjustment Mechanism : CBAM) นำร่องในปี 66-69 (ให้แจ้งปริมาณการปล่อยก๊าซฯ) ซึ่งจะเริ่มใช้จริงปี 70

รวมถึงมาตรการลดการปล่อยก๊าซในภาคการขนส่ง ทั้งเครื่องบิน เรือ รถยนต์ สิ่งก่อสร้างสำหรับการเกษตร และการจัดการของเสีย ส่วนสหรัฐ อยู่ระหว่างพิจารณาร่างกฎหมาย Clean Competition Act (CCA) ตั้งเป้าเก็บภาษีคาร์บอนกับสินค้าที่กระบวนการผลิตมีการปล่อยคาร์บอนสูง โดยเก็บจากผู้ผลิตของสหรัฐ และผู้นำเข้าสินค้า
จากต่างประเทศ คาดว่าจะเริ่มใช้ในปี 69 และจีน ที่น่าจะเป็นแหล่งผลิตคาร์บอนแห่งใหญ่ที่สุดของโลก ปี 62 ปล่อยมลพิษสัดส่วนกว่า 27% ของโลก หรือคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า 10,000 ล้านตัน จะกลายเป็นประเทศที่มีความต้องการซื้อคาร์บอนเครดิตสูง

จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของตลาดคาร์บอนเครดิต เป็นโอกาสในการเพิ่มมูลค่าให้ธุรกิจภาคเกษตรไทย เนื่องจากการปลูกพันธุ์ไม้ที่สามารถแปลงเป็นคาร์บอนเครดิต 58 สายพันธุ์ เช่น ต้นสะเดา ต้นนางพญาเสือโคร่ง ต้นนนทรี ต้นปีบ ต้นอินทนิลนํ้า ไม้สัก ต้นประดู่ พยอม แคนา จามจุรี รวมถึงต้นไม้ที่ช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG เช่น ไผ่ (ปี 63 พื้นที่ปลูกไผ่เพื่อการค้าราว 9.2 หมื่นไร่) และไม้ผล เช่น ทุเรียน มะม่วง และมะขาม ซึ่งจัดเป็นผลไม้ส่งออกสำคัญของไทย และผลไม้ที่ขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง

รวมทั้งพืชสมุนไพร เช่น มะหาด และมะขามป้อม ที่นอกจากปลูกเพื่อการค้าแล้ว ยังสามารถเข้าร่วมโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VERs2) สาขาเกษตร (สวนผลไม้) ซึ่งเป็นการสร้างรายได้หลายทาง ทั้งการเพิ่มมูลค่าให้กับภาคเกษตร และสร้างรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิต

นอกจากนี้ ไทยยังจะมีโอกาสในการขยายตลาดส่งออก โดยเฉพาะสินค้าที่มีการปล่อยคาร์บอนตํ่า จะได้เปรียบด้านราคากว่าสินค้าที่มีการปล่อยคาร์บอนสูง เพราะปัจจุบันมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม ถือเป็นกฎระเบียบโลกสมัยใหม่ที่จะถูกนำมาใช้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญในการแข่งขันทางการค้าเพื่อป้อนสู่ตลาดหลักอย่างสหรัฐ และสหภาพยุโรป ซึ่งไทยต้องบูรณาการความร่วมมือของทุกภาคส่วนในเชิงรุก เตรียมความพร้อมให้ภาคธุรกิจปรับตัว ขับเคลื่อนนโยบายเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก.