เมื่อวันที่ 19 ส.ค. พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน เปิดเผยว่า สำหรับความคืบหน้าเรื่องขบวนการลักลอบนำเข้าซากสุกรแช่แข็ง 161 ตู้นั้น วานนี้ (18 ส.ค.) ที่อาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มีการประชุมหารือร่วมกันทั้ง 3 หน่วยงาน ได้แก่ ดีเอสไอ กรมปศุสัตว์ และกรมศุลกากร โดยพูดคุยเกี่ยวกับแผนขั้นตอน กระบวนการขนย้ายทำลายของกลาง (ซากสุกรแช่แข็ง) เนื่องจากของกลางที่ได้มีการอายัดไว้นี้ เข้าฐานความผิด เป็นการนำเข้าโดยฝ่าฝืน ม.31 แห่ง พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ฯ และยังเป็นความผิดฐานหลีกเลี่ยงข้อจำกัดตามมาตรา 244 แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากรฯ โดยที่ประชุมได้มีมติทำลายของกลางในพื้นที่ของกรมปศุสัตว์ บริเวณ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว และจะดำเนินการตามขั้นตอนอย่างโปร่งใส ซึ่งในเรื่องการทำลายฝังกลบ จะเป็นอำนาจหลักของกรมปศุสัตว์ ขณะที่ดีเอสไอในฐานะพนักงานสอบสวน ก็จะดำเนินการตามขั้นตอน รับหน้าที่ในการขนย้าย-ลำเลียงตู้คอนเทเนอร์ของกลางทั้ง 161 ตู้

โดยเป็นการทยอยขนย้ายวันละประมาณ 30 ตู้ (ตกขบวนละ 10 ตู้) และที่ต้องทำการทยอยลำเลียง เนื่องจากเส้นทางในการขนย้ายนั้นค่อนข้างใช้เวลาพอสมควร ถัดมาเมื่อถึงจุดหมายจะโอนตู้ออก เพื่อตู้ในชุดถัดไปจะวนเข้ามาเรื่อยๆ และเมื่อไปอยู่ในจุดที่นำของกลางลง เราจะไม่ได้เทของกลางทีเดียว เพราะตู้คอนเทเนอร์อาจมีผลกระทบเสื่อมสภาพได้ ต่อมาเมื่อเทของกลางเสร็จสิ้น ดีเอสไอจะนำรถที่ใช้สำหรับขนย้ายออกมาจากพื้นที่ เนื่องจากเป็นพื้นที่โล่งช่วงหน้าฝนอาจเฉอะแฉะ แต่เรายืนยันว่าบริเวณทำลายของกลางเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับประชาชนแน่นอน อีกทั้งในส่วนของขั้นตอนขนย้ายตู้คอนเทเนอร์จากท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี ไปยังพื้นที่ฝังกลบทำลาย เราจะดำเนินการในช่วงเช้ามืด เพื่อไม่เป็นการรบกวนการทำงานของท่าเรือ อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนเหล่านี้ทั้ง 3 หน่วยงาน จะนัดหมายเพื่อประชุมวางแผนร่วมกันอีกครั้งในสัปดาห์ถัดไป ว่าจะมีรูปแบบขั้นตอนอย่างไร เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบวิธีปฏิบัติของกรมปศุสัตว์ นอกจากนี้ ทางกรมปศุสัตว์ก็จะกลับไปวางแผนเรื่องการขุดหลุมที่ดินเพื่อสำหรับการฝังกลบ ว่าจะใช้ปริมาณเนื้อที่ดินเท่าไร

พ.ต.ต.ณฐพล กล่าวว่า การทำลายของกลาง สามารถทำได้ก่อนการสอบสวนทางคดีจะเสร็จสิ้น เพราะซากสุกรแช่แข็งเหล่านี้ล้วนมีผลกระทบทั้งเรื่องเชื้อโรคและโรคระบาด เพราะไม่มีการขออนุญาตเข้ามายังภายในประเทศไทย ไม่ผ่านขั้นตอนพิธีการศุลกากร ส่วนกรอบระยะเวลาที่คาดคะเนสำหรับทำลายฝังกลบ จะเป็นช่วงต้นเดือนกันยายนนี้ เพราะขณะนี้สำนวนคดีอยู่ในขั้นตอนของดีเอสไอ และคณะพนักงานสอบสวนจะมีการเสนอต่อผู้บังคับบัญชา เรื่องกำหนดแผนการเคลื่อนย้ายของกลาง และจึงจะส่งมอบของกลางในทางกฎหมายให้กับกรมปศุสัตว์ เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการทำลายฝังกลบ อีกทั้งแต่ละหน่วยงานจะต้องไปทำการบ้านว่า ตู้คอนเทเนอร์ใดอยู่ท่าเรือไหนบ้าง และดูความพร้อมของแต่ละท่าเรืออีกด้วย เพราะเราต้องการทำลายของกลางให้เร็วที่สุดและต้องครบ

เมื่อถามว่าในการทำลายของกลางจะมีภาคประชาชนและตัวแทนผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยเข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วยหรือไม่ พ.ต.ต.ณฐพล ยืนยันว่ามีแน่นอน และจะทำอย่างโปร่งใสตรวจสอบได้ ตามนโยบายของ พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีดีเอสไอ โดยจะเชิญผู้บังคับบัญชาการระดับสูงของทุกหน่วยงาน เข้าร่วมพิธีการทำลายฝังกลบของกลาง และระหว่างขั้นตอนดำเนินการ ตนจะให้ทุกคนเข้าสังเกตการณ์ เพื่อแสดงให้ประชาชน-สื่อมวลชนเห็นว่าเราทำลายทั้งหมด ไม่มีพฤติการณ์ชักของกลางออกไป และดีเอสไอจะมีเจ้าหน้าที่สำหรับเฝ้าตลอด 24 ชม. ติดกล้องวงจรปิดตลอดเวลา

ส่วนเรื่องความคืบหน้าทางการสอบสวนนั้น พ.ต.ต.ณฐพล กล่าวว่า เมื่อวันที่ 17 ส.ค. ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนได้มีการขอหมายศาลเข้าตรวจค้นบริษัทเอกชน ซึ่งมีบทบาทในการนำเข้าสินค้าประเภทซากสัตว์แช่แข็ง จำนวน 10 บริษัท (11 จุดตรวจค้น) เพื่อตรวจยึดเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง นำไปใช้ในการขยายผลว่ามีผู้ใดกระทำความผิดบ้าง และตอนนี้พนักงานสอบสวนก็อยู่ระหว่างการขอข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อนำมาตรวจสอบว่าภายในบริษัทต่างๆ นี้ มีโครงสร้างบุคลากรอย่างไร ใครเป็นกรรมการบริษัท หรือมีอำนาจในการลงนาม

อย่างไรก็ตาม เอกสารต่างๆ ที่ได้มีการตรวจยึดมาค่อนข้างเป็นประโยชน์ต่อสำนวนคดี และจะนำไปตรวจสอบคู่ขนานกับข้อมูลของทางกรมศุลกากรและกรมปศุสัตว์ เพื่อดูว่ามีความสอดคล้องกันหรือไม่ ท้ายสุดจะเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาออกหมายเรียกพยานหรือผู้ต้องหา ซึ่งหากนิติบุคคลหรือบุคคลรายใดที่มีพยานหลักฐานชัดเจนแล้ว พนักงานสอบสวนก็สามารถออกหมายเรียกผู้ต้องหาเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาเอาผิด แต่ถ้าหากรายใดหลักฐานยังไม่ชัดเจนก็จะออกหมายเรียกพยานเพื่อสอบปากคำก่อน ซึ่งทั้งหมดนี้ ก็เป็นการขยายผลมาจากการสอบปากคำสายเรือทั้ง 17 แห่ง ที่ได้ยืนยันโดยชัดเจนว่า ใครเป็นคนสั่งสินค้าเข้ามา และเอาตู้คอนเทเนอร์มาฝากสายเรือต่างๆ