วันที่ 18  ส.ค. พ.ต.ท.บำรุง แนบชิดชัย รองผกก.(สอบสวน) สภ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ได้รับแจ้งจากกู้ชีพ โรงพยาบาลบ้านผือ มีผู้ถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัสที่บ้านเลขที่ 124 หมู่ 8  บ้านแดง ต.จำปาโมง  โดยมีกู้ชีพ อบต.จำปาโมงนำผู้บาดเจ็บส่งห้องฉุกเฉินโรงพยาบาล แต่ผู้บาดเจ็บเสียชีวิตในเวลาต่อมาจึงรุดไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่

พบศพนายมุลตรี สิงห์ทอง อายุ 40 ปี สวมเสื้อยืดสีดำ กางเกงยีนขายาวถูกยิงด้วยปืนลูกซองยาว กระสุนเบอร์ 12 กระสุนลูกปรายเข้าที่ท้องน้อย 4 เม็ดกระสุนฝังใน  สอบสวนทราบว่า  น.ส.พรรณี ภูขำ อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 124หมู่ 8 ต.จำปาโมง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี เพื่อนบ้านเป็นคนยิงและรอมอบตัวอยู่ที่บ้านพร้อมอาวุธปืน จึงรุดไปที่เกิดเหตุ ที่เกิดเหตุเป็นบ้าน 2 ชั้น ไม้ครึ่งปูน บริเวณหลังบ้านมีคราบเลือดอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ และพื้นกระเบื้อง พบ น.ส.พรรณี  เจ้าของบ้านผู้ก่อเหตุนั่งรอมอบตัวกับตำรวจพร้อมด้วยอาวุธปืนลูกซองยาว เบอร์ 12 จำนวน 1 กระบอก กระสุนปืน 3 นัด ปลอกกระสุนปืน 1 ปลอก จากการสอบสวนให้การรับสารภาพว่าเป็นคนใช้อาวุธปืนยิงนายมุลตรีจนเสียชีวิตจริงตำรวจจึงควบคุมตัวพร้อมอาวุธปืนของกลาง ไปโรงพักทำการสอบสวน

โดย น.ส.พรรณี ให้การว่า ตนเป็นแม่ม่ายแยกทางกับสามีอาศัยอยู่ที่บ้านกับลูกอีก 2 คน เมื่อ 1 ปี ที่ผ่านมาตนได้จ้างนายมุลตรีผู้ตาย ซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกันมาปูกระเบื้องพื้นบ้านชั้นล่างเสร็จแล้วก็จ่ายเงินค่าจ้างไปตามปกติ แต่ผู้ตายหลงรักตน แต่ตนไม่ชอบเพราะ ผู้ตายชอบเสพยาบ้าและดื่มเหล้าอาละวาด ตลอดคนในหมู่บ้านก็รู้ดี ผู้ตายจะขี่จยย.มาหาตนที่บ้านตลอด ผู้ตายจะอ้างว่าเป็นบ้านตัวเอง คิดเอาเองว่าเป็นผัวตน เพราะเป็นคนสร้างบ้านหลังนี้จะอยู่บ้านนี้

น.ส.พรรณี กล่าวว่า ผู้ตายมักจะเมาแล้วมาหาเรื่องตนที่บ้าน ตนแจ้งตำรวจมาระงับเหตุเอาไปควบคุมที่โรงพักหลายครั้ง แต่พอตำรวจปล่อยตัวก็จะมาอีกทำให้พ่อของตนซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านมานอนเป็นเพื่อน ส่วนตนได้เอาปืนลูกซองของพ่อมาไว้ที่บ้านเพื่อป้องกันตัว  ก่อนเกิดเหตุ ขณะที่ตนอยู่บ้านคนเดียวผู้ตายมีอาการเมาแล้วขี่จยย. มาจอดที่หลังบ้านแล้วจะเดินเข้ามาตนในบ้าน ตนกลัวแต่วิ่งไปปิดประตูไม่ทัน

น.ส.พรรณี ให้การต่ออีกว่า  ตนถามผู้ตายว่ามาทำไม ผู้ตายตอบว่าพ่อมึงให้มาหา และจะอยู่ที่นี่ ตนกลัวจึงบอกให้ผู้ตายกลับไป แต่ผู้ตายไม่ยอมกลับ แถมยังเดินเข้ามาหาตนคิดว่าผู้ตายจะมาข่มขืนตน เพราะผู้ตายเคยขู่ตนไว้ว่า “ให้มึงระวังตัวไว้” ตนจึงรีบเอาปืนลูกซองออกมาขู่ให้ผู้ตายออกจากบ้านตนไป  แต่ผู้ตายก็ยังเดินเข้ามาคุกคามตนจึงหลับหูหลับตายิงออกไป 1 นัด จนผู้ตายล้มลงเพราะหากผู้ตายแย่งปืนไปได้ตนก็คงจะตายเช่นเดียวกัน ตนจึงต้องป้องกันตัว

นางทองทิพย์ เบ้าแก้ว อายุ 69 ปี เพื่อนบ้าน เล่าว่าขณะนั่งอยู่ในบ้าน ได้ยินเสียงดังจากบ้านที่เกิดเหตุ จึงบอกให้ลูกชายไปดู  ซึ่งเห็นน.ส.พรรณีถือปืนและร้องบอกว่าผู้ตายถอยออกไป แต่ผู้ตายไม่ถอยแถมยังเดินจะเข้าไปในบ้าน น.ส.พรรณีก็เลยยิงปืนใส่ 1 นัดซึ่งผู้ตายเป็นคนชอบดื่มเหล้าเสพยาบ้าอาละวาด และคิดว่าจะชอบ น.ส.พรรณี เคยมาอาละวาดหลายครั้ง จนต้องแจ้งตำรวจมาระงับเหตุ แต่พอตำรวจปล่อยตัวก็มาอีก กระทั่งมาเกิดเรื่องยิงกัน ในความคิดเห็นถือว่าผู้ตายบุกรุกเพื่อจะข่มขืนน.ส.พรรณีจึงต้องป้องกันตัวเอง

ส่วนนางจันดี บุญฤทธิ์ อายุ 68 ปีแม่ผู้ตายซึ่งหูพิการไม่ค่อยได้ยินเสียง เล่าทั้งน้ำตาว่า ตนอาศัยอยู่กับลูกชาย 2คน ลูกชายทำงานรับจ้างหาเลี้ยงตน และทราบเรื่องแล้วว่าลูกชายถูกยิงตาย ซึ่งรู้สึกเสียใจ เพราะว่าตนมีลูกคนเดียว  รักลูกมาก ลูกอยากได้อะไรตนก็หาให้ก่อนเกิดเหตุ ลูกชายบอกตนว่าจะไปหาเพื่อน ไม่ได้บอกว่าจะไปหาผู้หญิงต่อไปคงจะต้องได้อยู่คนเดียว จากนั้นนางจันดีก็ร่ำไห้คร่ำครวญเสียใจจนญาติต้องมาปลอบใจ

พ.ต.ท.บำรุง แนบชิดชัย รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.เมืองอุดรธานีได้แจ้งข้อหา น.ส.พรรณี “ ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย”ควบคุมตัวไว้ดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อไป