ต้องยอมรับว่า การเข้ามาบุกตลาดนักเตะยุโรปของบรรดาสโมสรเจ้าบุญทุ่มจากซาอุดีอาระเบียในช่วงซัมเมอร์นี้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับวงการลูกหนังโลกไม่น้อย รวมทั้งยังทำให้เกิดการผันผวนอย่างหนักทั้งในเรื่องของค่าตัว และค่าจ้างของนักเตะอีกต่างหาก

แม้ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ จะยังคงเป็นเบอร์ 1 เมื่อมองจากเม็ดเงินรวมที่จ่ายเป็นค่าตัวของนักเตะ แต่หากว่า กันถึงเรื่องค่าจ้างแล้ว ไม่มีนักเตะจากลีกสูงสุดเมืองผู้ดีติดโผท็อป 10 จากการสำรวจของ เลอ ปารีเซียง สื่อแดนน้ำหอม แม้แต่คนเดียว

ยิ่งไปกว่านั้น ในโผท็อป 10 ดังกล่าวยังมีนักเตะที่เพิ่งย้ายไปหากินในซาอุฯ ติดโผมาถึง 8 ราย โดยมีเพียง 2 รายที่ไม่ได้ค้าแข้งอยู่ในซาอุดี โปรลีก คือ ลิโอเนล เมสซี ที่เพิ่งย้ายไปอยู่กับ อินเตอร์ ไมอามี และ คีลิยัน เอ็มบัปเป ที่เลือกจะล่าตาข่ายอยู่กับ เปแอสเช ต่อไปอีกหนึ่งปีเท่านั้น

ต่อไปนี้คือ 10 อันดับนักเตะค่าจ้างแพงที่สุดในโลกจากการสำรวจของ เลอ ปารีเซียง โดยเป็นตัวเลขก่อนหักภาษีทั้งหมด

อันดับ 10 : คาลิดู คูลิบาลี (อัล ฮิลาล) ค่าเหนื่อย 25.7 ล้านปอนด์ (ราว 1,130.8 ล้านบาท) ต่อปี

การย้ายจาก เชลซี ไปอยู่กับ อัล ฮิลาล ของ คูลิบาลี ในช่วงซัมเมอร์นี้ นับว่า เป็นการสมประโยชน์กันทุกฝ่าย เนื่องจาก สิงห์สำอาง ก็อยากจะเขี่ย ดาวเตะเซเนกัล ออกจากทีมหลังทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวังในซีซั่นที่แล้ว ส่วน คูลิบาลี การได้ย้ายไปเล่นให้ อัล ฮิลาล ก็เหมือนกับการถูกหวยรางวัลใหญ่ในช่วงบั้นปลายอาชีพ

อันดับ 9 : ริยาด มาห์เรซ (อัล อาห์ลี) ค่าเหนื่อย 30 ล้านปอนด์ (ราว 1,320 ล้านบาท) ต่อปี

ริยาด มาห์เรซ เข้า ๆ ออกๆ ทีมตัวจริงของ แมนเชสเตอร์ ซิตี เป็นว่าเล่นในฤดูกาลที่ผ่านมา และส่อแววจะต้องนั่งยาวหากขืนยังอยู่ที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ในฤดูกาลนี้ ดังนั้นแทนที่จะนั่งตบยุงบนม้านั่งสำรอง และรับค่าเหนื่อย 7.8 ล้านปอนด์ (ราว 343.2 ล้านบาท) ต่อปีอยู่ที่ แมนฯ ซิตี การย้ายมาเป็นนักเตะคนสำคัญของ อัล อาห์ลี พร้อมอัพค่าเหนื่อยเป็น 30 ล้านปอนด์ต่อปีจึงดูดีกว่าเป็นไหน ๆ สำหรับนักเตะอายุ 32 ปี อย่างเขา

อันดับ 7 ร่วม: ซาดิโอ มาเน (อัล นาสเซอร์) ค่าเหนื่อย 34.3 ล้านปอนด์ (ราว 1,509.2 ล้านบาท) ต่อปี

สำหรับในกรณีของ ซาดิโอ มาเน การย้ายซบ อัล นาสเซอร์ เป็นเรื่องที่แทบไม่ต้องเสียเวลาคิดเพราะนอกจากมันจะช่วยให้ตัวเขาปิดฉากฝันร้าย 12 เดือนกับ บาเยิร์น มิวนิค ลงได้แล้ว มันยังทำให้เขาได้รับค่าจ้างมากกว่าสมัยอยู่กับ “เสือใต้” (18.8 ล้านปอนด์) ถึงเกือบ 2 เท่าตัวเลยทีเดียว

อันดับ 7 ร่วม: จอร์แดน เฮนเดอร์สัน (อัล เอตติฟัค) ค่าเหนื่อย 34.3 ล้านปอนด์ (ราว 1,509.2 ล้านบาท) ต่อปี

แม้การย้ายไปค้าแข้งในซาอุดีอาระเบียของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน จะถูกวิพากวิจารณ์ค่อนข้างหนักในเมืองผู้ดี โดยเฉพาะจากกลุ่ม LGBT แต่ “เฮนโด้” หาได้แคร์ไม่เพราะนี่คือโอกาสที่เขาจะได้กลับมาร่วมงานกับเพื่อนเลิฟอย่าง สตีเวน เจอร์ราร์ด ที่สวมบทกุนซือ อัล เอตติฟัค อีกครั้ง แถมยังได้รับค่าจ้างมากกว่าสมัยที่ยังอยู่กับ ลิเวอร์พูล มากกว่า 3 เท่าตัวอีกต่างหาก

อันดับ 6 : ลิโอเนล เมสซี (อินเตอร์ ไมอามี) ค่าเหนื่อย 38.6 ล้านปอนด์ (ราว 1,698.4 ล้านบาท) ต่อปี

เมเจอร์ ลีก ซอคเกอร์ มั่นใจว่า การทุ่มเงินค่าจ้างก้อนโตให้กับนักเตะที่ขึ้นชื่อว่าเก่งกาจที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมาจะให้ผลตอบแทนคุ้มเกินคุ้ม โดยเฉพาะในด้านการตลาดที่จะทำให้ เอ็มแอลเอส เป็นที่รู้จักในระดับสากลมากขึ้น และมีรายได้หลั่งไหลเข้าสู่ลีกมากขึ้น ส่วนกับ เมสซี เรื่องเงินดูจะเป็นเหตุผลรองเพราะตัวเขาได้ค่าเหนื่อยเพิ่มจากสมัยอยู่กับ เปแอสเช ไม่มากนัก โดยเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ลา ปุลกา เลือกย้ายมาเล่นในสหรัฐเพราะมันทำให้ตัวเขามีเวลาได้อยู่กับครอบครัวมากขึ้น แถมยังมีโอกาสดีที่จะลงทุนทำธุรกิจในอนาคตอีกด้วย

อันดับ 5 : คีลิยัน เอ็มบัปเป (เปแอสเช) ค่าเหนื่อย 60 ล้านปอนด์ (ราว 2,640 ล้านบาท) ต่อปี

อันที่จริง คีลิยัน เอ็มบัปเป ควรจะขึ้นแท่นเป็นนักเตะที่มีค่าจ้างแพงที่สุดในโลกไปแล้ว หากตัดสินใจย้ายไปค้าแข้งในซาอุดีอาระเบีย กระนั้นการเลือกปักหลักค้าแข้งอยู่กับ เปแอสเช ต่อไป (อย่างน้อยก็อีกหนึ่งปี) ก็ยังทำให้ กัปตันทีมชาติฝรั่งเศส ติดโผท็อป 10 แบบสบาย ๆ โดยไม่ได้ต้องระเห็จไปไกลจากแผ่นดินเกิดแม้แต่น้อย

อันดับ 3 ร่วม : เอ็นโกโล ก็องเต (อัล อิตติฮัด) ค่าเหนื่อย 85.7 ล้านปอนด์ (ราว 3,770.8 ล้านบาท) ต่อปี

เอ็นโกโล ก็องเต ถูกปัญหาบาดเจ็บเล่นงานจนแทบไม่ได้ลงสนามให้ เชลซี เลยตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นการเลือกโบกมืออำลาถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ไปค้าแข้งกับ อัล อิตติฮัด หลังฟมดสัญญาจึงเป็นเรื่องดีสำหรับทั้ง 2 ฝ่าย โดยเฉพาะกับการที่มีค่าเหนื่อยเฉียด 90 ล้านปอนด์ต่อปีรออยู่อย่างนี้

อันดับ 3 ร่วม : เนย์มาร์ (อัล ฮิลาล) ค่าเหนื่อย 85.7 ล้านปอนด์ (ราว 3,770.8 ล้านบาท) ต่อปี

เปแอสเช โล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก หลังสามารถเขี่ย เนย์มาร์ ที่แทบไม่เคยลงเล่นให้พวกเขาได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเลยนับตั้งแต่ย้ายมาจาก บาร์เซโลนา เมื่อ 6 ปีก่อน แถมยังรับค่าเหนื่อยก้อนโตถึง 41 ล้านปอนด์ (ราว 1,804 ล้านบาท) ต่อปีนั้น ออกจากทีมได้สำเร็จ แถมยังขายได้ค่าตัวถึง 77 ล้านปอนด์ (ราว 3,388 ล้านบาท) อีกต่างหาก ส่วน เนย์มาร์ เงินค่าเหนื่อยระดับ 85.7 ล้านปอนด์ต่อปีที่ได้รับจาก อัล ฮิลาล ก็น่าจะทำให้ตัวเขาใช้ชีวิตแบบหรูหราหมาเห่าต่อไปได้อีกนานเท่านานเลยทีเดียว

อันดับ 1 ร่วม : คาริม เบนเซมา (อัล อิตติฮัด) ค่าเหนื่อย 171.5 ล้านปอนด์ (ราว 7,546 ล้านบาท) ต่อปี

การเซ็นสัญญากับ คาริม เบนเซมา ของ อัล อิตติฮัด นับเป็นการสร้างความสั่นสะเทือนให้กับวงการลูกหนังได้อย่างแท้จริง เพราะนี่คือเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์คนล่าสุด และยังอยู่ในฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมกับ รีล มาดริด แม้สภาพร่างกายจะโรยราลงไปบ้างตามวัยก็ตาม

อันดับ 1 ร่วม : คริสเตียโน โรนัลโด (อัล นาสเซอร์) ค่าเหนื่อย 171.5 ล้านปอนด์ (ราว 7,546 ล้านบาท) ต่อปี

หากจะพูดว่า คริสเตียโน โรนัลโด คือตัวเปิด หรือ ซูเปอร์สตาร์เบอร์ต้น ๆ ของโลกที่ย้ายมาเปิดตลาดในซาอุฯ ก็คงไม่ผิดอะไรนัก โรนัลโด รับค่าเหนื่อยอยู่ที่ 25 ล้านปอนด์ (ราว 1,100 ล้านบาท) ต่อปีในการย้ายกลับมาเล่นให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นคำรบ 2 ทว่าจากความไม่ลงรอยกับ เอริค เทน ฮาก และจากการที่ไม่มีสโมสรในยุโรปสนใจที่จะเซ็นสัญญากับเขา ทำให้ “ซีอาร์7” ตัดสินใจย้ายมาหากินในแดนเศรษฐีน้ำมัน ซึ่งแม้จะโดนบรรดาแอนตี้แฟนค่อนแคะเรื่องมาตรฐานฟุตบอลในซาอุฯ อยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเมื่อมองจากค่าจ้างที่สูงเกินฝันถึง 171.5 ล้านปอนด์ต่อปี.