เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 7 ส.ค. ที่ รร.ดิเอมเมอรัลด์ ถ.รัชดาภิเษก นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อไทย (พท.) และผู้ร่วมเรือนจำเดียวกันกับนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง แถลงเกี่ยวกับนายชูวิทย์ พร้อมภาพเนื้อหาเด็ด “แฉเพื่อชาติ หรือแฉเพื่อใคร?” ว่า วันนี้ทนายความได้ไปฟ้องนายชูวิทย์ ในข้อหาหมิ่นประมาท แล้วที่นายชูวิทย์อ้างว่าเป็นการฟ้องปิดปากนั้น ยืนยันว่าเป็นการใช้สิทธิของนายเศรษฐา ไม่มีใครปิดปากนายชูวิทย์ ​ถ้าบริสุทธิ์ใจ ตั้งข้อสังเกตว่า ที่ข้อมูลบริษัทแสนสิริ มาจากเอกชนมานานแล้วทำไม่ตรวจสอบมาตั้งนาน แต่ปล่อยไว้จนนายเศรษฐา มีชื่อโหวตนายกฯ อยากถามว่าถ้านายชูวิทย์ ยึดประโยชน์สาธารณะและเพื่อชาติ เมื่อได้รับเอกสาร ไม่ควรปล่อยไว้เนิ่นนาน และต้องตรวจมาอย่างตรงมา รวมถึงให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย โดยไม่มีวาระมีซ่อนเร้น 


นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 3 ส.ค. ที่ผ่านมา นายชูวิทย์ แถลงข่าวว่ารัฐเสียหาย 500 ล้านบาท เพราะนายเศรษฐา ทำนิติกรรมอำพรางไม่ซื่อสัตย์สุจริต เรื่องนี้ไม่ซับซ้อนเหมือนนายชูวิทย์จับแพะชนแกะพูดความจริงเรื่องเดียว ซึ่งผู้ขายเขาได้กรรมสิทธิ์โดยการแบ่งคืนให้ผู้ถือหุ้นคนละวันกัน ในทางกฎหมายไม่ถือว่าบุคคลดังกล่าวได้กรรมสิทธิ์รวมที่ดินพร้อมกัน และกฎหมายอนุญาตให้ผู้ขายทำได้ ตามระเบียบกรมที่ดินและกรมสรรพากร เชื่อว่าตั้งใจให้เข้าใจบิดเบือนและไม่พูดความจริงทั้งหมด หากพูดความจริงทั้งหมดจะกล่าวหานายเศรษฐาไม่ได้เลย อย่างไรก็ตาม บริษัทแสนสิริ ได้ซื้อที่ดินตามกฎหมาย และเรื่องนี้ไม่มีปัญหาอะไรเลย 

นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า บริษัทแสนสิริ เป็นนิติบุคคลที่มีบริหารหลายคน ทำไมจ้องเล่นงานนายเศรษฐา เพียงคนเดียว ต่อมายังกล่าวหาว่าเป็นตัวการร่วมรู้เห็นเป็นใจ ยืนยันว่านายเศรษฐา ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนราคาที่ดินที่ซื้อตั้งอยู่ถนนสารสิน ตรงข้ามสวนลุมพินี ทุกคนในวงการอสังหาริมทรัพย์รู้ดีว่าเป็นเหมือนทำเลทอง ดังนั้นราคาที่ดินที่ออกมาเป็นราคาปกติตามท้องตลาด ส่วนราคาที่ดินที่อยู่ซอยสุขุมวิท 24 ของนายชูวิทย์ และครอบครัว ตกตารางวาละเกือบ 3 ล้านบาท ฉะนั้นราคาก็ไม่ต่างกัน เพราะราคาที่ดินจะแพงหรือไม่แพง อยู่ที่ทำเล

“ผมว่าที่แถลงเป็นเท็จ ไม่เป็นความจริง ยืนยันนายเศรษฐาไม่ได้ทำผิดกฎหมายและผิดจริยธรรมตามที่นายชูวิทย์กล่าวหาแต่อย่างใด ขอสังคมอย่างหลงประเด็นกับลีลาโวหารแอ๊คชั่นบอกว่าคนโน้นคนนี้ผิด นายชูวิทย์ มี 5 นิ้ว เวลาชี้ไปที่คนอื่น 1 นิ้ว มันจะหันมาหาตัวเอง 4 นิ้ว” นายพร้อมพงศ์ กล่าว

นายพร้อมพงศ์ กล่าวต่อว่า ผมมีหลักฐานภาพถ่ายนายชูวิทย์ พบกับนายเศรษฐา ผู้บริหารบริษัทแสนสิริ ณ ขณะนั้น เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 65 เพื่อเสนอชื่อที่ดินแปลงตัวเอง เสนอขายให้บริษัทแสนสิริ ที่เคยขายบริษัทไรมอนแลนด์ ซึ่งบริษัทไรมอนแลนด์ ได้มัดจำ 4 ร้อยล้านบาทมาแล้ว แต่มีปัญหาหลายอย่าง จึงขอยกเลิกสัญญาและยึดเงินมัดจำ และเรียกค่าเสียหาย ทั้งนี้ เมื่อมาเสนอขายกับบริษัทแสนสิริ จะต้องเคลียร์สัญญากับผู้ขายรายเก่าก่อน แต่บริษัทแสนสิริปฏิเสธเรื่องซื้อที่ดินดังกล่าว ต่อมานายชูวิทย์ ได้มาเสนอขายอีกครั้งในราคา 2 พันล้านบาท และถูกปฏิเสธจากผู้บริหารแสนสิริ เพราะมีปัญหาข้อกฎหมาย นี่อาจจะเป็นปัญหาที่ทำให้นายชูวิทย์โกรธเคืองหรือไม่

นายพร้อมพงศ์ กล่าวอีกว่า ภาพที่ปรากฏ ต้องบอกว่านายชูวิทย์ไม่ได้สนิทกับนายเศรษฐา ที่มาพบและนั่งกินกาแฟเพียงเฉยๆ นี่ตรงกันข้ามกับนายชูวิทย์ ที่บอกไม่มีวาระซ่อนร้อน ถามว่าที่นายชูวิทย์ที่บอกแฉเพื่อชาติ แต่ต้องการแฉเพื่อใคร ตนถามว่าที่ออกมาแฉเพื่อชาติและกล่าวหานายเศรษฐา แบบสาดโคลนก่อนวันโหวตนายกฯ ไม่กี่วัน มีเป้าหมายให้นายเศรษฐา ขัดคุณสมบัติ 160(4) หรือไม่ รับงานใครมาหรือไม่ หรือหวังผลทางการเมืองให้ใครมาเป็นนายกฯ หรือไม่ ส่วนที่ระบุว่านายเศรษฐา มีนิติกรรมอำพราง ตนเห็นว่าคนที่มีนิติกรรมอำพรางคือนายชูวิทย์มากกว่า ในกรณีที่ดินสวนชูวิทย์ 

“วาระประชาชนต้องมาก่อน วาระส่วนตัว หรือวาระทางการเมืองของกลุ่มการเมืองหรือนักการเมือง ประชาชนเดือดร้อนเรื่องปากท้องเรื่องเศรษฐกิจ เพราะยังไม่มีผู้นำเข้ามาบริหารประเทศ และควรมีรัฐบาลได้แล้ว เพราะมีคนแบบนายชูวิทย์ ที่มีเป้าหมายต้องการให้แคนดิเดตนายเศรษฐา ไม่เป็นนายกฯ” นายพร้อมพงศ์ กล่าว

เมื่อถามว่า นายเศรษฐา ได้ชี้แจงประเด็นนี้กับทางพรรค พท. หรือไม่ นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ เพราะไม่เกี่ยวพรรค พท. แต่ฐานะที่เป็นคณะทำงานด้านกฎหมาย นายเศรษฐา ก็ยินดีให้นายชูวิทย์ตรวจสอบ รวมถึงหน่วยงานราชการ องค์กรอิสระ และภาคประชาชน 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังนายพร้อมพงศ์ แถลงข่าวเสร็จสิ้น ได้ส่งป้ายไวนิวผ่านเมสเซนเจอร์ ให้นายชูวิทย์ ที่ รร.เดวิส ถนนสุขุมวิท 24 เพื่อให้ตรวจสอบภาพถ่ายนี้และเตือนความจำ ยืนยันว่าการส่งภาพไวนิลนี้ให้นายชูวิทย์ เพราะตนมีความโปร่งใส.