เมื่อวันที่ 5 ส.ค. นายปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า การเมืองไทยแบบครกๆ สากๆ การเมืองแบบครกๆ สากๆ คือ ต้องเอาให้ละเอียดไปเสียข้างหนึ่งถึงจะพอใจ ท่านนายกฯ ทักษิณ เป็นนายกฯ 2 สมัย ทำจนประเทศไทยเป็นเสือตัวที่ 2 ของ ASEAN แถมใช้หนี้ IMF หมดก่อนเวลา ในทางการเมืองก็ได้ตั้งพรรคไทยรักไทย เลือกตั้งชนะ 2 ครั้ง ครั้งหลังได้ชัยชนะอย่างท่วมท้นเป็นประวัติศาสตร์ 377 เสียง แต่ก็ถูกสากตำจนละเอียดมาจนทุกวันนี้ (ยุคนั้นผมเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี)

ท่านนายกฯ สมัคร ผู้ได้คะแนนเลือกตั้งสูงสุดจากการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ไปสาธิตการทำอาหารทาง TV (ไม่ได้ใช้ครกแท้ๆ) ก็ยังโดนสากตำจนหลุดตำแหน่ง (ยุคนั้นผมเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง)

ท่านนายกฯ สมชาย เป็นต่อจากท่านนายกฯ สมัคร เข้าทำเนียบรัฐบาลไม่ได้เพราะโรคเสื้อเหลืองระบาดหนัก แถมโดนสากตำจนต้องพ้นตำแหน่งและพรรคพลังประชาชนก็ถูกยุบ (ยุคนี้ผมเป็นรองเลขาฯ นายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง)

ท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์ มาพร้อมพรรคเพื่อไทย และชนะการเลือกตั้ง 265 เสียง เริ่มทำงานพร้อมน้ำท่วมใหญ่ในรอบ 100 ปี พอจะทำรถไฟความเร็วสูงก็มีคนไม่ยอม บอกให้ไปลาดยางถนนลูกรังเสียให้หมดก่อน ครั้นมาทำโครงการน้ำก็โดยรุมสกรัมฟ้องร้อง ใช้เวลาปีหนึ่งเต็มๆ แก้คดี ครั้นพอจะลงนามก็โดนสากของลูกน้องชื่อตุ๊ดตู่ปฏิวัติ แถมโดนตำซ้ำให้ออกจากตำแหน่ง (ทั้งๆ ที่ยุบสภาไปแล้ว) เพราะไปย้ายข้าราชการคนเดียวที่ไม่เคยมีความเห็นอะไรตรงกับนายกฯ เลย (ยุคนี้ผมเป็นรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี)

เวลาผ่านไปรวดเร็ว 9 ปี (เหมือนฝันร้าย) พร้อมการจากไปของยุคตุ๊ดตู่ ก้าวไกลผสมเพื่อไทย 312 เสียง คุณพิธาแคนดิเดตนายกฯ ก็ถูกสากทุบจนต้องลงจากเวที มาตอนนี้เพื่อไทยเป็นหัวเรือ เรือก็ดูจะโคลงไปเคลงมา แถมต้องล่องเรือหนีหินโสโครกที่ถูกแต่งตั้งเข้ามา เที่ยวนี้ขอให้โชคดีนะแต่ก็ต้องระวังสากให้มาก เพราะโดนโขลกทุบจนละเอียดไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน มีผู้ใหญ่ (อายุเกือบร้อย) บอกผมว่า วัฒนธรรมการเมืองไทยก็เป็นอย่างนี้แหละ ในเมื่อชอบกินน้ำพริกก็ต้องถูกตำให้ละเอียด ถ้าอยากรอดก็ต้องทำตัวกะจิ๊ดเป็นมดเท่านั้น

มิน่าโบราณเขาจึงมีคำพังเพยว่า “ไอ้สากกะเบือ”