เมื่อวันที่ 4 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.(สส.) ได้รับคำสั่งจาก ผบ.ตร. ให้ลงมาติดตามคดีโกดังเก็บพลุระเบิด ที่ ต.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส และได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อถึงการล้างบาง ขบวนการส่วยในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เมืองชายแดนที่ติดกับ รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย และกลายเป็นประเด็นที่ “โซเชียล” ในพื้นที่ ต่างนำเสนอข่าวและออกมาแฉถึงพฤติกรรมการเก็บส่วยของผู้เจ้าหน้าที่ และฝากความหวังที่จะเห็นการล้างบางของบิ๊กโจ๊ก
‘บิ๊กโจ๊ก’ ลงพื้นที่บ้านมูโนะ สั่งขยายผลเจ้าของโกดังพลุระเบิด มีใครอยู่เบื้องหลัง!
ผู้สื่อข่าวข่าวรายงาน หลังเกิดการระเบิดที่ตลาดมูโนะ และมีการสั่งย้าย 4 เสือ และ 1 จ่า ของ สภ.มูโนะ ทำให้ธุรกิจผิดกฎหมายใน ต.มูโนะ และ สุไหงโก-ลก มีสภาพของความเงียบเหงา ท่าเรือเถื่อนแม่น้ำสุไหงโก-ลก ทั้ง 2 จุด ที่ ต.มูโนะ ซึ่งห่างจาก ตลาดมูโนะ ที่ถูกระเบิดทำลายร้างเพียง 200 เมตร มีสภาพเงียบเหงา เพราะทหารเข้าทำการปิดกั้น ทำให้ไม่มีการส่งสินค้าเถื่อนข้ามแดน เรือรับจ้างขนสินค้าจอดเทียบท่า ธุรกิจการค้าชายแดนหยุดชะงัก
ส่วนในเขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก เจ้าหน้าที่ศุลกากร ได้เข้มงวดการนำสินค้าเถื่อน เช่น น้ำมันเถื่อน เข้ามาอย่างเด็ดขาด ทำให้ การค้าน้ำมันเถื่อน ทั้งแบบที่พ่อค้านำมาใส่ขวด ใส่แกลลอน มีการขาดตลาด และผู้ค้าน้ำมันเถื่อนรายใหญ่ ที่ส่งขายให้กับปั๊มน้ำมัน และผู้ทำธุรกิจขนส่ง อุตสาหกรรม ก็สั่งหยุดเป็นการชั่วคราว
บ่อนการพนันที่มีอยู่ 3 แห่ง ที่ซอยโรงหมู่ ซึ่งเป็นของนายทุนชาวมาเลเซีย ชื่อ บ่อนแบแซ บ่อนแบมะ และบ่อนในโรงแรมของโกกุ่ย ถูกเจ้าหน้าที่ขอร้องให้ปิดชั่วคราว ตู้สล็อตแมชชีน ที่ตั้งอยู่ในโรงแรม และร้านค้า มีการเอาผ้าคลุม ไม่ให้มีการเล่นการพนันอย่างที่เคยเปิดให้เล่นก่อนเหตุระเบิดที่ตลาดมูโนะ
สถานบันเทิงต่างๆ ที่มีอยู่จำนวนมาก ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวมาเลเซีย และหญิงขายบริการ ร้อยละ 80 เป็นผู้หญิงจาก สปป.ลาว กว่า 1,000 คน ถูกสั่งให้ปิด และมีการนำหญิงที่ไม่มีใบอนุญาตการทำงาน และที่เข้าเมืองผิดกฎหมายไปหลบซ่อน ทำให้ในย่านราตรีของ สุไหงโก-ลก เงียบเหงาเป็นอย่างมาก และชาวมาเลเซีย ซึ่งทราบข่าวที่เกิดขึ้น ก็ไม่มีการเดินทางเข้ามาเที่ยวเหมือนก่อน
ขณะที่ร้านขายพลุ ประทัด ดอกไม้ไฟ ที่เตรียมสินค้าไว้ เพื่อขายในช่วงเฉลิมฉลองวันชาติ หรือวันประกาศเอกราช “เมเดอร์ก้า” ของประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีอยู่ 52 แห่ง ได้ขนสินค้าออกจากร้านไปเก็บไว้ที่อื่นๆ เป็นการชั่วคราว โดยเหลือสินค้าไว้เพียงเล็กน้อย เพื่อรอให้เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ
แหล่งข่าวที่ทำธุกิจเถื่อนรายหนึ่ง เปิดเผยให้ทราบว่า การทำธุกิจผิดกฎหมายใน อ.สุไหง-โกลก จ.นราธิวาส ต้องจ่ายส่วย ที่คนในพื้นที่เรียกว่า “จ่ายรายการ” ให้กับเจ้าหน้ากว่า 30 หน่วยงาน โดยเฉพาะตำรวจที่ต้องจ่ายซ้ำซ้อน ตั้งแต่ โรงพัก กองกำกับ กองสืบ การข่าว สืบภาค กองปราบฯ ไซเบอร์ สันติบาล ตร.รถไฟ ตำรวจน้ำ แม้แต่ตำรวจป่าไม้ ก็มีการมาเก็บส่วยทุกเดือน และยังมีนักบินจากส่วนกลางอีกด้วย
นอกจากนั้น ยังต้องจ่ายให้กับฝ่ายปกครอง ที่มีการเรียกเก็บหนักกว่าตำรวจ โดยเฉพาะในกิจการที่ฝ่ายปกครอง เป็นผู้ออกใบอนุญาต เช่น การพนันประเภทที่ 5 นวดแผนโบราณ ห้องอาหาร สถานบันเทิง ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ามีการค้าประเวณี จะต้องมีการทำบัญชีเป็นรายหัวของหญิงบริหาร และมีการจ่ายส่วยเป็นรายหัว หัวละ 1,000 บาทต่อเดือน แม้แต่ร้านค้าสินค้าหนีภาษี เช่น ขนมนมเนยที่เป็นของมาเลเซีย ก็ต้องจ่ายรายการให้กับฝ่ายปกครอง โดยแม่ค้าขายน้ำมันเถื่อน ที่นำน้ำมันเถื่อนจากมาเลเซียมาบรรจุขวดขาย ก็ต้องจ่ายให้ฝ่ายปกครองเดือนละ 500 บาท โดยจะมี “หัวเบี้ย” เป็นผู้รับผิดชอบในการเก็บส่วย ที่อ้างว่าต้องไปจ่ายให้กับฝ่ายปกครอง
ที่ผ่านมาในปี 2565 มีฝ่ายปกครองที่เป็นนายอำเภอสุไหงโก-ลก และนายตำรวจระดับ ผู้บังคับการ ถูกร้องเรียน และถูกย้ายออกจากพื้นที่ เพราะมีหลักฐานที่ออกใบอนุญาตให้ผู้ค้ายาเสพติด ครองครองอายุธปืนคนเดียว 19 กระบอก และออกบัตรอนุญาตให้เข้า-ออก สถานที่ราชการ ซึ่งเคยเป็นข่าวใหญ่โตมาแล้ว
นายสันติ (ขอสงวนนามสกุล) ประชาชนคนหนึ่งใน อ.สุไหโก-ลก กล่าวว่า อยากให้ บิ๊กโจ๊ก ทำการล้างบางเรื่องส่วย ใน อ.สุไหงโก-ลก อย่างจริงจัง เพราะเรื่องส่วยที่มูโนะ เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย ถ้าเทียบกับส่วยใน อ.สุไหงโก-ลก และผู้ค้าพลุ ประทัด ดอกไม้ไฟ รายที่ใหญ่กว่า เจ๊หลินและเสี่ยไหว ที่จ่ายส่วยให้กับเจ้าหน้าที่ อยู่ใน โก-ลก แต่ไม่เคยถูกจับ