ใน Motor Show ครั้งที่ผ่านมา รถยนต์ไฟฟ้าหลายรุ่น หลายยี่ห้อ เปิดตัวเรียกร้องความสนใจของผู้บริโภคเป็นอย่างยิ่ง ผมก็เฝ้าติดตาม และสนใจอยากได้ อยากจะเป็นคนรักษ์โลกเช่นเดียวกับคนรุ่นใหม่ ทราบมาว่าปีนี้มียอดจองรถ EV เกือบ 10,000 คัน โดยมีเทรนด์ไปในทิศทางเดียวกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ปีที่ผ่านมา รถ EV มียอดขายทั่วโลกประมาณ 10 ล้านคัน คิดเป็น 14% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2020 ที่เคยมีส่วนแบ่งเพียง 4%

เมื่อคิดเรื่องความยั่งยืนมีประเด็นอะไรบ้างที่ควรพิจารณา…เมื่อคิดจะซื้อรถ EV เรื่องแรก มลพิษ ของเสียที่เกิดจากการใช้งาน ทั้งมลพิษจากไอเสีย ฝุ่นควัน และมลพิษทางเสียง ที่นับว่าดีกว่ายานยนต์แบบเดิมมาก แต่ความรู้สึกในการขับขี่แบบดั้งเดิม ที่ถ่ายทอดผ่านเครื่องยนต์สันดาปแบบเก่าคงจะหายไป เรื่องที่สอง ที่มาของพลังงานไฟฟ้า มีการสร้างคาร์บอนตลอดห่วงโซ่น้อยกว่า หรือมากกว่า น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ อันนี้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ เพราะถ้าพลังงานไฟฟ้าในประเทศนั้น ๆ ยังใช้โรงไฟฟ้าถ่านหินแบบเก่า ที่มีประสิทธิภาพต่ำ และสร้างมลพิษมาก การใช้รถ EV มาก ๆ ก็ไม่ค่อยเกิดประโยชน์เท่าใดนัก ในยุโรปพลังงานไฟฟ้าส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะพัฒนาจากพลังงานสะอาด พลังงานทางเลือก เช่น แสงอาทิตย์ สายสม เกลียวคลื่น ความสั่นไหว ขยะ และอื่น ๆ ในประเทศไทยก็เช่นกัน มีแผนพัฒนาพลังงานไฟฟ้าที่มาจากพลังงานทางเลือกใหม่ ๆ ให้ได้ 50% ในอนาคต ดังนั้น รถ EV ก็ดูจะรักษ์โลกได้มากขึ้น และเรื่องที่สาม ที่มาของแบตเตอรี่ ที่ปัจจุบันมาจาก Lithium ยังมีข้อถกเถียงกันเรื่องมาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคมของการทำเหมือง Lithium ที่มีแหล่งธรรมชาติอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย ชิลี จีน อาร์เจนตินา ซิมบับเว แคนาดา และโมร็อกโก การทำเหมืองแร่ Lithium ต้องมีมาตรฐานสูง เพราะขบวนการแยกแร่ Lithium ออกมา ต้องใช้ทรัพยากรน้ำจำนวนมาก และถ้าไม่ควบคุมให้ดี น้ำเสียที่ออกจากการผลิตจะลงสู่แหล่งน้ำชุมชน และเป็นอันตรายร้ายแรงกับชุมชนรอบ ๆ เหมืองแร่อีกด้วย อีกเรื่องหนึ่งคือ ขบวนการ Reuse Recycle ของแบตเตอรี่ การนำแบตเตอรี่ที่เสื่อมแล้วไปใช้อย่างอื่น และนำไปแปรรูปกลับมาใช้ใหม่ให้ได้ 100% เพื่อลดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมในอนาคต ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา

เรื่องต่อไปที่ผู้บริโภคยังลังเล คือ ประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ ระยะเวลาในการชาร์จ ระยะทาง ความครอบคลุมของสถานีชาร์จ และความปลอดภัย ปัจจุบันมาตรฐานหัวชาร์จรุ่นใหม่สามารถใช้ร่วมกันได้แล้ว มีจุดชาร์จเพิ่มขึ้นมากทั้งในปั๊มน้ำมัน อาคารสาธารณะต่าง ๆ หรือจุดพักที่มีร้านกาแฟสำหรับนั่งรอได้ แบตเตอรี่รุ่นใหม่ ๆ ถูกพัฒนาให้สามารถชาร์จได้เร็วขึ้น มีระยะการใช้งานได้ 300-400 กม. ซึ่งพอเพียงกับการใช้งานในเมือง และต่างจังหวัดที่ไม่ไกล แต่ในการเดินทางไกลคงจะต้องวางแผนล่วงหน้า และจอดพักระหว่างทาง

ทั้งนี้ ปัจจุบันยานยนต์ EV มีความเป็นมิตรกับผู้ขับขี่มากขึ้นเรื่อย ๆ ผมเลยถือโอกาสแวะเข้าไปที่ showroom ใกล้ ๆ บ้านตามที่พนักงานขายเชิญชวน วันนี้มีโอกาสมาดูรถ Mini Cooper SE Electric ที่ศูนย์ Mini Millennium Auto เอกมัย ทำไม Mini มันอาจจะเป็นความชอบส่วนตัว เหมือนดูตัวสาวสวยในอุดมคติ ในความทรงจำ โดยก่อนเดินเข้า Showroom ผมเห็นภาพสาวน้อยน่ารัก ผู้ดีอังกฤษ มีเสน่ห์ซ่อนอยู่ในความเรียบง่าย ขี้งอน เอาแต่ใจ เหมือนรถ Mini Cooper Classic ช่วงปี 1960-2000 ที่เราเห็นในหนังเรื่อง The Italian Job (1969) Mr Bean (1990) และ The Bourne Identity (2002) ระหว่างทาง ภาพของสาวน้อยในยุคคลาสสิก ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสาวสังคมชั้นสูง ผู้นำแฟชั่น ร่าเริงร้อนแรง แต่ยังคงความขี้งอน และเอาแต่ใจเช่นเดิม เหมือน Mini Cooper ตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา เราอาจจะมีภาพจำจากหนัง The Italian Job (2003) Mini สีแดง ขาว น้ำเงิน ถูกไล่ล่าในอุโมงค์ส่งน้ำ สามารถหลบหลีกอุปสรรคต่าง ๆ อย่างแคล่วคล่องว่องไว ทำให้อะดรีนาลินในตัวสูบฉีดขึ้นมาทันที สำหรับคนรัก Mini คงเข้าใจดีว่าการเข้าไปนั่งใน Cockpit เล็ก ๆ นี้ ให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากรถอื่นอย่างไร ประสบการณ์การขับขี่ Mini แบบดั้งเดิมนั้นดิบดุดันไม่เกรงใจใคร

คงไม่มีใครถามเรื่องขนาดตัวรถ เรื่องความนุ่มนวล เรื่องความประหยัด หรือเรื่องการบำรุงรักษา แต่ส่วนใหญ่จะคุยกันเรื่อง สไตล์ การขับขี่ที่แตกต่าง เสียงของเครื่องยนต์ที่เป็นเอกลักษณ์ แรงสั่นสะเทือน ความกระด้างที่มั่นคงของช่วงล่าง และความกะทัดรัดที่ตอบสนองการขับขี่ได้อย่างแม่นยำ ความสนุกสนานนี้ไม่ต่างอะไรจากการขับรถแข่งโกคาร์ท ผมสงสัยว่า เอกลักษณ์ของการขับขี่แบบดั้งเดิมเหล่านี้ ยังคงมีอยู่ในรถไฟฟ้า Cooper SE คันใหม่นี้ หรือไม่

เมื่อผมขึ้นนั่งในที่คนขับ ความคุ้นเคยเดิม ๆ ก็หวนกลับคืนมา คราวนี้รอบ ตัวเต็มไปด้วยดิจิทัล ยังคงเหลือปุ่มสตาร์ต แบบอนาล็อก เมื่อกดปุ่มจะปลุกวิญญาณของรถขึ้นมา มีเสียงทักทายเหมือนอยู่ในยานอวกาศ Star War และจอ Dashboard ก็เรืองแสงขึ้นต้อนรับเราทันที ก่อนที่ผมจะออกรถผู้เชี่ยวชาญของ Mini ได้แนะนำการใช้งาน และเล่าเรื่องความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่ผลิตภัณฑ์ให้ผมมั่นใจในการรักษ์โลก และเมื่อได้ทดลองขับรถแล้ว รู้สึกว่าวันนี้ รถมินิ (เธอ) เป็นสาวสังคมผู้นำแฟชั่น มิได้เป็นสาวมินิมอลแบบเดิม เธอมิได้กระโดกกระเดกแบบที่เคยเป็น แต่มีความนุ่มนวลอ่อนหวาน เครื่องเร่งขึ้นอย่างรวดเร็วและแรงสั่นสะเทือนที่เคยเขย่าหลอมละลายให้หลังของเราติดเป็นเนื้อเดียวกับเบาะได้หายไป เช่นกัน วันนี้เธอเลิกเอาแต่ใจ หันมาเอาใจเราแทนแล้ว โดยสรุป ประสบการณ์รักแรกพบกับรถ EV Mini Cooper นั้นยอดเยี่ยมมาก เรียบร้อย นุ่มนวล ประหยัด สะดวกสบาย รักษ์โลก อย่างมีสไตล์

สำหรับผู้ที่รักษ์โลก ตอนนี้พัฒนาการของรถ EV มาไกลพอสมควรแล้ว สถานีชาร์จครอบคลุมกว่าเดิม ประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ดีขึ้นเรื่อย ๆ การชาร์จครั้งหนึ่ง ได้ระยะทางมากขึ้น หัวชาร์จก็ใช้มาตรฐานร่วมกันได้แล้ว แบตเตอรี่ Lithium ที่ติดรถ ก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีเป้าหมายให้ Recycle ได้มากที่สุด และพลังงานไฟฟ้าที่เราใช้ ก็จะมาจากพลังงานทางเลือก และพลังงานสะอาดมากขึ้นในอนาคต ถนนทุกเส้นมุ่งสู่ความยั่งยืน

ขอต้อนรับทุกท่าน สู่สังคมของผู้ใช้ยานยนต์ EV.