นายพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารได้ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนทั้งเสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจพร้อมรักษาการจ้างงาน และแบ่งเบาภาระทางการเงิน ผ่านมาตรการต่างๆ เช่น พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย พักชำระเงินต้น และลดการผ่อนต่องวด รวม 338,000 ล้านบาท และยังมีการให้วงเงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่องสำหรับธุรกิจเอสเอ็มอีและร้านค้ารายย่อย ทั้งตามมาตรการภาครัฐ และมาตรการพิเศษเพิ่มเติมของธนาคาร ตั้งแต่การระบาดของโควิดระลอกแรกจนถึงปัจจุบัน โดยธนาคารให้ความช่วยเหลือไปแล้วเป็นวงเงินกว่า 232,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ โครงการพิเศษต่างๆ เช่น โครงการเถ้าแก่ใจดี เจ้าหนี้มีใจ เป็นความร่วมมือระหว่างธนาคารฯ และเจ้าของธุรกิจ ด้วยการลดดอกเบี้ย เพื่อช่วยเจ้าของธุรกิจให้มีเงินจ่ายค่าจ้างพนักงาน โดยธนาคารและเจ้าของธุรกิจช่วยกันจ่ายคนละ 50% เพื่อให้พนักงานมีงานทำและมีรายได้ พร้อมช่วยลดภาระหนี้ต่างๆ, โครงการสินเชื่อ 0% เพื่อรักษาคนงานเอสเอ็มอี ช่วยธุรกิจขนาดเล็กที่ให้มีเงินทุนในการจ้างพนักงานให้มีรายได้และอยู่รอด ด้วยการสนับสนุนเงินกู้ ดอกเบี้ย 0% ไม่ต้องผ่อน 1 ปี มีเอสเอ็มอีเข้าร่วมกว่า 1,000 บริษัท และช่วยพนักงานได้กว่า 46,000 คน
นอกจากนี้ยังมีโครงการช่วยให้ร้านค้าขนาดเล็กเข้าถึงเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ ผ่านโครงการเงินกู้สู้ไปด้วยกัน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ร้านค้ารายย่อย ดอกเบี้ยต่ำ 3% ไม่ต้องมีหลักประกัน พักชำระเงินต้นนาน 3 เดือน ซึ่งได้รับความสนใจจากร้านค้าขนาดเล็กสมัครเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยสามารถช่วยลูกค้าได้กว่า 29,200 ราย วงเงินสินเชื่อ 4,800 ล้านบาท
ขณะที่ยังลดภาระค่าใช้จ่ายให้ลูกค้ารายย่อย โดยทำงานร่วมกับพันธมิตรชั้นนำ เพื่อให้สามารถช่วยเหลือลูกค้าในวงกว้างมากขึ้น และเพื่อให้เจ้าของร้านรายเล็กๆ สามารถขายของได้คล่องขึ้น ในขณะที่ลูกค้าทั่วไปได้ใช้สินค้าและบริการต่างๆ ในราคาประหยัด เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบธุรกิจ ทั้งผู้ซื้อ ผู้ขาย คือ โครงการร่วมด้วย ช่วยเปย์ ร่วมกับฟู้ดดิลิเวอรี่ และเคพลัส มาร์เก็ต โดยธนาคารได้สนับสนุนงบประมาณกว่า 250 ล้านบาท ทั้งให้เงินสนับสนุนกับร้านค้ารายย่อยกว่า 20,000 ร้าน ร้านละ 3,000 บาท เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของลูกค้า เป็นต้น