เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 10 ก.ย. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ รับมอบอำนาจจาก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เป็นโจทก์ นำหลักฐานมายื่นฟ้องนายศรีสุวรรณ จรรยา อุปนายก และเลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เป็นจำเลย ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา พร้อมทั้งเรียกค่าเสียหาย 10 ล้านบาท โดยนายอนันต์ชัย กล่าวว่า วันนี้นำหลักฐานที่นายศรีสุวรรณ ไปยื่นหนังสือร้องเรียนต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ผ่านมา ให้สอบจริยธรรมร้ายแรง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เมื่อวันที่ 3-5 ส.ค. โดยกล่าวหาว่าทิ้งหิน ดิน ล่วงล้ำลำน้ำแควน้อยเกินกว่าแนวเขตที่ดินของตนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมเจ้าท่า
ซึ่งประเด็นแรก นายศรีสุวรรณ กล่าวหาว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ผิดจริยธรรมร้ายแรง คือมาตรฐานจริยธรรม พ.ศ.2561 ข้อ 7 ต้องถือผลประโยชน์ประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน ข้อ 11 ไม่กระทำการอันเป็นอันขัดขวางระหว่างประโยชน์ส่วนตน และประโยชน์ส่วนรวม ไม่ว่าทางตรงหรืออ้อม และ ข้อ 27 เป็นการฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง ในวรรคที่ 2 คนที่จะกระทำความผิดฐานนี้ได้ต้องเป็นนักการเมืองในขณะนั้น แต่นายศรีสุวรรณ ไม่ได้ดูว่าที่ดินแปลงที่พิพาทที่มีการกล่าวหาว่ารุกล้ำลำน้ำหรือไม่ ซึ่งพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ซื้อที่ดินดังกล่าวมาเมื่อปี 2535 มีการถมหินในปี 2544 แล้วมีการออกโฉนดเมื่อปี 2549 หลังจากนั้นได้โอนที่ดินให้กับลูก ๆ ในปี 2557 ซึ่งพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไม่ได้เป็นเจ้าของที่แล้ว แล้วจะผิดจริยธรรมได้อย่างไร ส่วนจะรุกล้ำหรือไม่นั้นก็ต้องไปตรวจสอบกัน
“ศรีสุวรรณ”จ่อร้อง ป.ป.ช.สอบจริยธรรมร้ายแรง “เสรีพิศุทธ์”ล่วงล้ำลำน้ำแควน้อย
“ดังนั้นการที่นายศรีสุวรรณมายื่นคือความเท็จ เพราะที่ดินเป็นของลูกพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ แล้ว พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เป็นนักการเมืองเต็มตัวเมื่อปี 2562 นายศรีสุวรรณ มาร้องได้อย่างไร ไม่ได้ตรวจสอบเลยหรือ ว่าหลักฐานเป็นอย่างไร แล้วการนำไปเปรียบเทียบกับกรณีของน.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐไม่ได้ เพราะในกรณีพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เขามีโฉนดที่ดิน ส่วนกรณีน.ส.ปารีณา เป็นที่ดิน ภ.บ.ท. 5 ที่ป่าสงวนแห่งชาติ บางส่วนเป็นที่ ส.ป.ก. จึงเทียบกันไม่ได้ และการครอบครองก็ไม่เหมือนกัน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ครอบครองถึงปี 2557 เมื่อเกษียณก็ยกให้ลูกไม่ได้เกี่ยวข้องแล้ว ส่วนน.ส.ปารีณา ครอบครองมาจนกระทั่งเป็นนักการเมือง ดังนั้นประเด็นการยื่นสอบจริยธรรม จึงไม่เข้าองค์ประกอบ การที่นายศรีสุวรรณไปยื่นสอบทำให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เสียหาย”
ทนายอนันต์ชัยโพสต์ถึงคิว ‘ศรีสุวรรณ’ เสรีพิศุทธ์มอบอำนาจยื่นฟ้องหมิ่น10ล.
นายอนันต์ชัย กล่าวว่า ประเด็นที่ 2 เรื่องรุกล้ำลำน้ำ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ซื้อที่ดินมาตั้งแต่ปี 2535 ซึ่งในขณะนั้นเป็นที่ดิน น.ส.3 ซึ่งในช่วง 2527 มีการเปิดใช้เขื่อนเขาแหลม เปิดน้ำช่วงเช้า-เย็น ทำให้เกิดคุ้งน้ำ แล้วเซาะเข้าไป ต้นไม้ล้ม พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ จึงแจ้งกับกรมเจ้าท่าว่าจะขอถมที่ในส่วนที่น้ำเซาะเข้าได้หรือไม่ กรมเจ้าท่าจึงเข้ามาวางแนว และถมหินตามนั้น จนในปี 2549-2550 มีการรังวัดโฉนด เจ้าหน้าที่กรมเจ้าท่า และสำนักงานที่ดินเข้าไปชี้เขต ก็ไม่มีปัญหา ไม่มีการคัดค้าน แต่เมื่อปี 2551 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ โดนปลดจากตำแหน่ง ผบ.ตร. มีผู้ไม่ประสงค์ดี ร้องเรียนไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ถมหินรุกล้ำลำน้ำ และมีการตั้งคณะกรรมการสอบขึ้นมา ซึ่งผลออกมาว่าทุกอย่างถูกต้องหมด จึงยกไป ต่อมาในปี 2551 กรมเจ้าท่าคนใหม่ เข้ามาตรวจสอบ แล้วบอกว่ารุกล้ำ และให้รื้อภายใน 30 วัน
นาอนันต์ชัย กล่วว่า ขณะนั้นพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ถูกย้ายไปประจำสำนักนายรัฐมนตรี หลังจากนั้นก็อุทธรณ์ไปยังปลัดกระทรวงคมนาคม ถูกยก จึงฟ้องไปยังศาลปกครอง และถูกตัดสินว่ารุกล้ำ จึงรื้อถอน และระหว่างนั้นพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ก็ถูกฟ้องคดีอาญา ซึ่งตำรวจ อัยการสั่งไม่ฟ้อง เสร็จสิ้นคดีปี 2556 คือขาดเจตนา ซึ่งคดีนี้แยกเป็น 2 ส่วนคือคดีแพ่ง และอาญา โดยคดีอาญาขาดเจตนา ถือว่าจบแล้ว ส่วนคดีแพ่งก็ว่าไปตามกระบวนการ ซึ่งกระบวนการรื้อถอนไม่ใช่ง่ายๆ เพราะการถมที่ ใครจะเป็นคนออกค่ารื้อถอน แล้วจากตรงไหนถึงจุดไหน แต่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินแล้ว การที่นายศรีสุวรรณ จะไปยื่นสอบจริยธรรม คือไม่ดูตาม้าตาเรือเลยหรือ ว่ามันใช่หรือไม่ใช่ และการที่นายศรีสุวรรณ ระบุว่าจะฟ้องกลับ ตนไม่สนใจ เพราะประเด็นอยู่ที่ว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไม่ได้เป็นนักการเมืองในขณะนั้น จะสอบจริยธรรมได้อย่างไร ส่วนกรณีนี้ค่อยว่ากันในคดีอาญา คดีแพ่ง ว่าไปตามกระบวนการ
“อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับสมาคมของนายศรีสุวรรณ ตั้งมาเพื่ออะไร เพื่อพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย แต่ผมไม่เห็นเขาจะพิทักษ์รัฐธรรมนูญตรงไหน ขณะนี้เขาก็กำลังแก้กันอยู่ ไม่เห็นคุณจะว่าอะไร แล้วรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ก็เห็นคนค้านว่าไม่ยุติธรรม ไม่ถูกต้อง ก็ไม่เห็นคุณว่าอะไร แต่ผมเห็นคุณร้องไปทั่ว แถวบ้านผมเรียกไอ้ลูกช่างฟ้อง เอาแต่เรื่องชาวบ้านไปฟ้อง ล่าสุดเอาเรื่องพระมหาสมปอง พระมหาไพรวัลย์ ท่านเป็นพระ เกี่ยวอะไรกับสมาคมของคุณ ผมว่าสมาคมนี้น่าจะเปลี่ยนชื่อเป็นสมาคมองค์การร้องเรียนชาวบ้าน ในเมื่อเขาชอบฟ้อง เราเลยมาฟ้อง ลากเขามาขึ้นศาล เก่งนักก็มาเจอกันที่ศาล เอาพยานหลักฐานมา ของจริงไม่ใช่ของปลอม และก่อนที่จะร้องอะไรให้คนอื่นเดือดร้อน คุณต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงข้อกฎหมายให้มันดีเสียก่อน อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้มอบหมายให้ผมตรวจสอบสมาคมนี้ ว่าคุณได้เงินมาจากไหน เสียภาษีหรือไม่ แล้วคุณร้องไปทั่ว โดยอาศัยสมาคมนี้ มันเข้าข่ายหรือไม่ เราอาจมีการยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้มีการเพิกถอนสมาคมนี้ในลำดับต่อไป ดังนั้นวันนี้เรามาด้วยข้อเท็จจริง ไม่ได้มาเพื่อปิดปากเขา อย่างที่เขาโพสต์”
ทั้งนี้ นายอนันต์ชัย เปิดเผยว่า ศาลได้รับคำฟ้องคดีนี้เป็นคดีหมายเลขดำที่ 2193/64 และนัดไต่สวนมูลฟ้องวันที่ 17 ม.ค. 2565 เวลา 13.30 น.