ได้ชื่อว่าเป็น ส.ส.ใหม่ป้ายแดง ที่น่าจับตาอีกคน หลังสามารถเอาชนะผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ได้สำเร็จ คือ กระแสร์ ตระกูลพรพงศ์ ส.ส.หนองคาย เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ ที่สะสมผลงาน ความนิยมจากอดีตเป็น ส.อบจ.หนองคาย 2 สมัย และรองนายก อบจ.หนองคาย 4 สมัย เคยลงสมัคร ส.ส.ในปี 2562 แต่พ่ายแพ้การเลือกตั้ง ก่อนที่จะกลับมาแก้มืออีกครั้ง ในการเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค.66 ที่ผ่านมา โดยได้รับการชูมือเป็นผู้ชนะ ขึ้นแท่นนั่งเก้าอี้ ส.ส.หนองคาย เขต 1

กระแสร์ ตระกูลพรพงศ์ อายุ 64 ปี เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหนองคาย เขต 1 สมัยแรกป้ายแดงสด ๆร้อนๆ  เป็นลูกหลานชาวหนองคายมาตั้งแต่กำเนิด อยู่ที่คุ้มวัดศรีเมือง ในเขตเทศบาลเมืองหนองคาย เคยเข้าทำงานเป็นพนักงานธนาคารกรุงเทพ สาขาหนองคาย ประมาณ 8-9 ปี

ส.ส.กระแสร์ เล่าว่า หลังจากนั้นออกมาทำธุรกิจส่วนตัว ใน สปป.ลาว โดยทำกิจการเกี่ยวกับไม้ แบบซื้อมาขายไป ประสบผลสำเร็จในการทำธุรกิจเป็นอย่างมาก และในปี 2538 เริ่มสนใจการเมืองจึงได้สมัครและได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาจังหวัดหรือเรียกว่า ส.จ.อยู่ประมาณ  2 สมัยประมาณ 8 ปีต่อมาในปี 2547 ได้มีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) หนองคาย ได้รับเกียรติจากท่านยุทธนา ศรีตระบุตร นายก อบจ.หนองคาย เชิญเข้าไปเป็นทีมผู้บริหาร ในตำแหน่งรองนายก อบจ.หนองคาย ตั้งแต่ ปี 2547 จนถึง 2562 (4 สมัย) ได้ลงพื้นที่ พบปะพูดคุย ช่วยเหลือชาวบ้านมาตลอด

“จนมาถึงปี 2562  ลาออกจากการเป็นรองนายก อบจ. ลงสมัครเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหนองคาย เขต 1 ในสังกัดพรรคพลังประชารัฐ ครั้งแรก การเลือกตั้งครั้งนั้นใช้รูปแบบบัตรใบเดียว จากคะแนนผลโหวตได้ลำดับที่ 2 ทำให้สอบตก จากนั้นก็ได้รับโอกาสกลับเข้าไปเป็นรองนายก อบจ.หนองคาย อีกรอบ ซึ่งเป็นการยืนยันจะทำงานทางการเมืองเพื่อเป็นปากเป็นเสียงให้กับพี่น้องประชาชน”

ส.ส.กระแสร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ก่อนเลือกตั้ง 14 พ.ค.2566 พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้ชวนให้ลงสมัคร ส.ส.อีกครั้ง ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้มีบัตร 2 ใบ ตนให้สัมภาษณ์ตลอดระยะเวลาที่อยู่ท้องถิ่นว่า ทางโซนภาคอีสานเราเดิมทีเป็นพื้นที่ของพรรคเพื่อไทย ที่ได้รับความนิยมสูงแต่ในการเลือกตั้งครั้งนี้มีบัตร 2 ใบ คือใบหนึ่งเลือกพรรค อีกใบเลือก ส.ส.แบบแบ่งเขต ซึ่งตนได้แจ้งหัวหน้าพรรคและชาวบ้านแล้วว่า พรรคเราสู้ไม่ได้ ส่วนตัวบุคคลพอสู้ได้ ซึ่งในบางพื้นที่ของ จ.หนองคาย ในเขต อ.เมือง อ.สระใคร  เขตตำบลโพนพิสัย 3 ตำบลและอื่นๆ  มีความเชื่อมั่นในตัวของตน เลือกคนไว้ใช้ ทำให้ตนได้รับเกียรติได้เป็น ส.ส เขตเลือกตั้งที่ 1 ได้อย่างท่วมท้น ต้องขอขอบคุณพี่น้องประชาชนในเขตเลือกตั้งที่ 1 และตนเชื่อเหลือเกินว่าการที่ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในครั้งนี้ เพราะตนทำงานต่อเนื่องและลงพื้นที่ตลอด

“เหตุผลที่ผมตัดสินใจลงเล่นการเมืองนั้น ในช่วงทำงานที่ธนาคารกรุงเทพ รู้สึกประทับใจ ที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เดินทางมาเปิดงานธนาคารกรุงเทพ สาขาหนองคาย ทำให้ผมเริ่มสนใจการเมือง นอกจากนี้ ผมก็โชคดีที่ท่านยุทธนา ศรีตะบุตร นายก อบจ.หนองคาย แนะนำให้ผมได้รู้จักท่านพินิจ จารุสมบัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรี หลังจากที่ผมได้ทำงานร่วมกัน ท่านพินิจก็ยึดถือพี่น้องประชาชนเป็นหลัก ว่าจะครองตัวยังไงให้มีประโยชน์ต่อประชาชนชาวหนองคาย และพยายามที่จะตอบสนองต่อส่วนรวม ดังนั้นทั้ง 3 ท่าน นี้ถือว่าเป็นไอดอล เป็นแบบอย่างให้กับผมก้าวเดินบนถนนสายการเมือง”

ส.ส.กระแสร์ บอกว่า การเมืองวันนี้ คิดว่าถ้าคนไทยทุกคนเข้าใจตรงกันว่า คำว่า “การเมือง” หมายถึง กฎระเบียบ ข้อบังคับ ที่กำหนดขึ้นเพื่อให้มนุษย์ธรรมดา ที่มีธรรมชาติ ต้องอยู่รวมกันเป็นครอบครัว เป็นกลุ่ม เป็นเมือง และเป็นประเทศ เมื่อคนรู้และปฏิบัติได้ ประเทศนั้นก็จะอยู่รวมกันอย่างเป็นสุขสบายและสงบสุข แต่การเมืองในปัจจุบันปัญหาคือการแย่งอำนาจกันและสาเหตุคือผู้คนส่วนใหญ่ต้องการอำนาจ ดังนั้นตนมองว่าถ้าจะต้องการแก้ไขนั้น ต้องเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย  อำนาจต้องอยู่ในมือประชาชนส่วนใหญ่ตัดสิน ผ่านการเลือกตั้งหรือการทำประชามติ

“ลงเล่นการเมืองไม่ว่าสนามเล็กหรือสนามใหญ่ในครั้งนี้ ผมมีความตั้งใจดี เสียสละทำเพื่อส่วนรวม และมุ่งมั่นทำงานให้สำเร็จ ต้องพัฒนาความรู้ ความสามารถอยู่เสมอ และที่สำคัญต้องมีความจริงใจในการทำหน้าที่ครับ สิ่งแรกที่ผมต้องทำเพื่อพี่น้องประชาชน หลังจากผมเป็น ส.ส. คือต้องการพัฒนานโยบายเร่งด่วน นั่นคือการส่งเสริมการค้าขาย การส่งเสริมการท่องเที่ยว วัฒนธรรม ซึ่งทุกคนก็พอจะทราบว่าประเทศเพื่อนบ้านของเรามีรถไฟความเร็วสูงที่เดินทางมาจากประเทศจีนมาสู่ สปป.ลาว โครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (one belt one road) ของประเทศจีน- สปป.ลาว”

ส.ส.กระแสร์ บอกต่อว่า ประเทศไทยนั้นได้อานิสงส์จากเส้นทางนี้ เช่นเราจะเห็นว่าหนองคายนั้นเป็นจุดเชื่อมสำคัญระหว่าง สปป.ลาว พ่อค้าแม่ค้าคนไทยปัจจุบันได้มีการขนส่งทุเรียนเป็นจำนวนมากผ่านทางรถไฟความเร็วสูง โดยค่าขนส่งโลจิสติกส์ที่ถูกกว่า รวดเร็วกว่า จะมีนักท่องเที่ยวจีนจำนวนมากหลั่งไหลมาทางรถไฟ ตนเชื่อแน่นอนว่าประเทศเราต้องมีนโยบายหรือว่าโครงการที่เป็นรูปธรรมในทุกๆ ด้าน  ทั้งเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน วัฒนธรรม  วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีต่างๆ เราต้องเสริมสร้างความร่วมมือต่างๆ ให้กระชับขึ้น ทำอย่างไรให้รถไฟความเร็วสูงรถขนส่งสินค้าเอามาจอดที่ฝั่งไทยของเรา หรือหนองคายให้ได้  ซึ่งจะทำให้พี่น้องของเราหรือพี่น้องบ้านใกล้เรือนเคียงได้มีแหล่งค้าขาย มีการขนส่งที่สะดวกมากยิ่งขึ้น เพื่อการส่งออกสู่ประเทศต่างๆ โดยผ่านรถไฟความเร็วสูง และในโอกาสต่อไปก็จะสามารถเป็นแหล่งท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่จะมาใช้รถไฟความเร็วสูง และพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยว แหล่งท่องเที่ยว ใน จ.หนองคายให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

“สำหรับพี่น้องกลุ่มเกษตรกรซึ่งทำกินอยู่ติดกับลำน้ำโขง ไม่ต้องเผชิญปัญหาภัยแล้ง ทำนาได้ปีละ 2 ครั้งทั้งนาปีและนาปรัง แต่ในช่วงฤดูฝนอาจจะประสบปัญหาน้ำท่วมขังจนได้รับผลกระทบ ประเด็นนี้ผมจะได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการป้องกันและแก้ไขต่อไป ในส่วนการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนนั้น จะดำเนินการตามนโยบายของพรรคพลังประชารัฐที่ได้หาเสียงไว้ ไม่ว่าพรรคเราจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล ผมจะผลักดันเพื่อให้เกิดรัฐสวัสดิการที่ดูแลคนไทยทุกคนอย่างทั่วถึง เท่าเทียมและเป็นธรรม และที่สำคัญ เราจะร่วมกันพัฒนา จ.หนองคาย ในทุกมิติ เพราะ จ.หนองคายคือบ้านของเรา” กระแสร์ ตระกูลพรพงศ์ ส.ส.หนองคาย เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ กล่าวจบบทสนทนาอย่างมุ่งมั่น

———————————-

เสี่ยวหลงเปา