ไม่ต้องยื่นขอวีซ่าก็ตีตั๋วมาอิตาลีได้เลย!! เพราะหลังประตูทองเหลืองบานใหญ่แห่งนี้ ภายในคือ “โอเปร่า อิตาเลียน เรสเตอรองต์” ร้านอาหารอิตาเลียนสุดหรู ย่านสุขุมวิท 39 ซึ่งพร้อมพาทุกคนเดินทางสู่ใจกลางของอิตาลี ผ่านการสัมผัสรสชาติอาหารต้นตำรับขนานแท้ โดยรวบรวมเมนูมาทั่วแคว้น ตั้งแต่เหนือจรดใต้ เรียกได้ว่า “อร่อยแบบชาวอัสซูรี…ทำกิน”

เชฟเควิน มอนโตร์ฟาโน่

สำหรับ “โอเปร่า อิตาเลียน เรสเตอรองต์” ยกระดับจากร้านเดิม L’Opera ให้มีความกลมกล่อมมากยิ่งขึ้น เริ่มจากครัวสไตล์อิตาเลียนแบบเปิดโล่ง เผยให้เห็นเชฟมากประสบการณ์สร้างสรรค์อาหารอิตาเลียนคลาสสิกให้มีความร่วมสมัยจากเมนูดั้งเดิมของห้องอาหารแห่งนี้ เกิดเป็นเมนูใหม่ ที่เป็นมากกว่าอาหารอิตาเลียนพื้นฐานทั่วไป หนุ่มลูกครึ่งไทย-อิตาลี มร.ชิน เชกกินี ผู้จัดการทั่วไป เล่าให้ฟังว่า วางคอนเซ็ปต์ร้านให้เป็นสไตล์ของคนอิตาลี รวมถึงวัฒนธรรมการกินดื่ม ดังนั้นจะมี Aperitivo คือ เครื่องดื่มก่อนมื้อหลักช่วงเวลา 17.00-18.30 น. เพื่อล้างรสชาติในปาก และเตรียมพร้อมรับรสชาติอาหารในแต่ละคอร์ส

ความน่าตื่นเต้นของเมนูอาหาร คุณชินเผยว่า อาหารอิตาเลียนในแต่ละถิ่นล้วนมีประวัติศาสตร์การกินอันยาวนาน ดังนั้นเมนูซิกเนเจอร์ของทางร้านความโดดเด่นจะอยู่ที่การรวบรวม “ตำนาน” ของแต่ละแห่งมาไว้ภายในที่เดียว ถ่ายทอดโดยการผสมผสานอาหารอิตาเลียนแบบดั้งเดิม เข้ากับเทคนิคสุดสร้างสรรค์ คนไทยส่วนใหญ่ค่อนข้างจะคุ้นชินเป็นอย่างดี สิ่งที่ต้องระมัดระวังคือการใช้เกลือ

“คนอิตาลีกินแล้วบอกอร่อยเข้มข้น แต่คนไทยคิดว่ามันเค็ม ก็ต้องปรับลดระดับลง โดยยังคงรักษามาตรฐานของความเป็น ออเธนทิค อิตาเลียน ควิซีน ไว้” คุณชินเผยด้วยรอยยิ้ม

บรรยากาศในร้านก็น่าประทับใจไม่แพ้กัน การออกแบบและตกแต่งราวผลงานศิลปะ เริ่มตั้งแต่ผนังไม้ที่ประดับประดาด้วยภาพถ่ายย้อนยุคน่าหลงใหล สร้างบรรยากาศชวนให้นึกถึงห้องแสดงงานศิลป์ ที่ใจกลางร้านอาหารคือบาร์ขนาดใหญ่กำลังส่องแสงระยิบระยับ ที่นั่งกำมะหยี่สุดหรูไปจนถึงโคมไฟที่วิจิตรบรรจง ทุกรายละเอียดได้รับการคัดสรรอย่างพิถีพิถันเพื่อสร้างบรรยากาศที่มีสไตล์และสะดวกสบาย เหมาะสำหรับการรับประทานอาหารอิตาเลียนมื้อหรูได้เป็นอย่างดี เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 12.00-24.00 น.

ก่อนพามาทำความรู้จักหัวหน้าเชฟประจำร้าน มร.เควิน มอนโตร์ฟาโน่ เชฟผู้มีพรสวรรค์ในวัย 31 ปี จากเมืองในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่ผู้คนพูดภาษาอิตาลีกัน ซึ่งได้เริ่มต้นเส้นทางการทำอาหารที่ไม่ธรรมดาตั้งแต่อายุเพียง 15 ปี นอกจากนี้เขาเดินทางไปทั่วโลกเพื่อตามหาแพสชั่นและฝึกฝนทักษะด้านการทำอาหาร จากกาตาร์สู่ดูไบ เชฟเควินทำงานในร้านอาหารชื่อดังมากมาย อาทิ Burj Al Arab และ Palazzo Versace ซึ่งเขาได้รับสิทธิพิเศษในการร่วมงานกับเชฟชื่อดังอย่างเซฟ Quique Dacost และการมีส่วนร่วมในงานเลี้ยงอาหารค่ำโดย Heston Blumenthal ที่ลอนดอนยิ่งช่วยเสริมความเชี่ยวชาญด้านการทำอาหารของเขาให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

หลังจากกลับมาที่สวิตเซอร์แลนด์ ในช่วงเวลาสั้น ๆ เชฟเควินเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าเชฟชาวอิตาเลียนที่ โฟร์ส ซีซันส์ คอสต้า ริก้า ก่อนจะมาเป็นหัวหน้าเชฟห้องอาหาร Biscotti ที่โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ ในปี 2564 จากประสบการณ์ที่หลากหลายและความมุ่งมั่นต่อความสมบูรณ์แบบในการทำอาหาร

เปิดต่อมรับรสสไตล์ชาวอัสซูรีกับจานเรียกน้ำย่อย “Tatare Di Tonno” หรือยำทูน่าดิบ หั่นเนื้อปลาทูน่าเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า รสชาติชัดจัดเต็ม จุดเด่นคือการดองหัวหอมในน้ำราพ์เบอร์รีทำให้มีสีแดงสด โรยผงมะกอกสีดำเพิ่มความมัวนัว และมีวานิลลาตบท้าย

จานถัดมาเป็นสลัด Carpaccio Di Manzo นำเนื้อวากิว A5 เทนเดอร์ลอยด์มาสไลด์บางๆ เดรสซิงจะเป็นเลมอน โรยหน้าด้วยผักร็อกเก็ต มะเขือเทศ เคเปอร์ และพาเมซานชีส อายุ 30 เดือนเพิ่มความเข้มข้น

มาถึงคิวของจานหลัก Tagliolini Al Nero Di Seppia พาสต้าโฮมเมด แรงบันดาลใจอาหารถิ่นทางตอนใต้ติดทะเล เชฟเควินนำเส้นดำรังสรรค์ขึ้นมาเองนั้น มาคลุกเคล้ากับปลาหมึกสดเนื้อหวาน หน่อไม้ทะเล ราดซอส Bagna Cauda สีเขียวตัดกับเส้นสีดำ ทำจากพาสลีย์ กระเทียม และแองโชวี่

ตระเวนขึ้นทางตอนเหนือกับจานคลาสสิก Risotto Al Parmigiano E Tartufo ทว่าพิเศษกว่ารีซอตโต้ทั่วไป เพราะเชฟเควินเลือกใช้ข้าว “Vialone Nano” ข้าวเมล็ดเล็กๆ ที่เก็บความอุณหภูมิความร้อนได้ดี ไม่โอเวอร์คุก ก่อนเสิร์ฟโรยซัมเมอร์ ทรัฟเฟิล และพาเมซานชีส อายุ 30 เดือน.

ช้องมาศ พุ่มสวัสดิ์ : เรื่อง

ภมร มานะพรชัย : ภาพ