จากกรณี น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 36 ปี ชาว จ.บุรีรัมย์ ถูกสามี อายุ 49 ปี คนในหมู่บ้านเดียวกัน แจ้งจับดำเนินคดี ฐานยักยอกทรัพย์ ที่อมเงินที่ส่งมาจากต่างประเทศรวมกว่า 7.2 แสนบาท ต่อมาภรรยาได้ร้องผ่านสื่อเพื่อขอความเป็นธรรม เพราะไม่เคยทำอะไรผิด โดยอ้างว่าสามีไปมีแฟนใหม่ที่ จ.สกลนคร ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 มิ.ย. นายบี (นามสมมุติ) อายุ 49 ปี สามีของ น.ส.เอ ได้ออกมาเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวผ่านทางโทรศัพท์ว่า สาเหตุที่ไปแจ้งความดำเนินคดี เพราะฝ่ายหญิงไม่ทำตามสัญญาที่คุยกันไว้ เงินที่ส่งมาให้เดือนละ 30,000-40,000 บาท ให้เก็บเอาไว้ให้ในบัญชีธนาคารธนชาต เดือนละ 20,000 บาท แต่เมื่อกลับถึงเมืองไทย กลับไม่พบเงินในบัญชีที่ตนคิดว่าน่าจะมีประมาณ 720,000 บาท
ส่วนสาเหตุที่เลิกกันเพราะหลังจากตนไปทำงานได้ไม่ถึง 1 ปี ได้มีเสียงนินทาถึงประเทศเกาหลีว่าภรรยาแอบไปมีชายอื่น จึงไปเอารถยนต์ซึ่งเป็นชื่อของตนเองกลับมาบ้าน แล้วบอกตัดความสัมพันธ์ ส่วนภรรยาใหม่ ตนเพิ่งเจอกันตอนกลับมาเมืองไทยแล้ว
เมียงงผัวแจ้งจับยักยอกเงิน 7.2 แสน ที่ส่งเสียให้ทุกเดือน อึ้งตร.รับเป็นคดี!
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้ย้อนกลับมาสอบถาม น.ส.เอ ภรรยานายบี ถึงกรณีดังกล่าว ได้รับคำตอบว่า ไม่เคยทำสัญญาซึ่งกันและกันว่าจะเก็บไว้ให้เดือนละ 20,000 บาท สามีบอกแค่ให้ส่งงวดรถให้เดือนละ 8,526 บาทเท่านั้น ที่เหลือเก็บไว้ใช้จ่ายภายในครอบครัว
กรณีที่อดีตสามีบอกว่าได้แยกบัญชีธนาคารธนชาตเอาไว้เก็บเงินนั้นก็ไม่เป็นความจริง เพราะตอนออกรถจำเป็นต้องเปิดบัญชีธนาคารธนชาต เพราะเป็นคู่สัญญาผ่อนจ่ายค่างวดรถ ถ้าจะให้เก็บเงินให้ทำไมไม่เปิดบัญชีฝากประจำไว้ ตนก็จะเก็บไว้ให้ กรณีเรื่องผู้ชายที่สามีออกมากล่าวหา ”เอาอะไรมาพูด”