จากกรณีที่นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่ บริหาร บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ชี้แจงต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า คณะกรรมการตรวจสอบของบริษัทได้รับทราบจากหนังสือของผู้สอบบัญชีรายบริษัท ไพร้ซวอเตอร์เฮ้าส์คูเปอร์ส เอบีเอเอส จำกัด ว่าผู้สอบบัญชีได้ตรวจพบพฤติการณ์อันควรสงสัยในประเด็นการดำเนิน งาน และได้ปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการผู้จัดการ และหรือบุคคลใด ซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทตามนัยมาตรา 89/25 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2565 จนนำไปสู่การที่บริษัทดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อให้สืบสวนและสอบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีและลงโทษตามกฎหมายจนถึงที่สุด นั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้เผยแพร่เอกสารซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว รายละเอียดระบุใจความว่า เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 66 พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้อนุมัติให้รับกรณีการตรวจพบความผิดปกติของงบการเงินของ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่นจำกัด (มหาชน) (STARK) เป็นคดีพิเศษ ตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 โดยการสืบสวนเบื้องต้นมีมูลเชื่อว่า มีการกระทำผิดของกรรมการ หรือ ผู้บริหาร หรือบุคคลอื่นใด เกิดขึ้น ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งพฤติการณ์มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความเชื่อมั่นในตลาดทุนและระบบเศรษฐกิจการคลังของประเทศ

นอกจากนี้ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ยังมอบหมายให้ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ซึ่งจะเร่งทำการสอบสวนบูรณาการร่วมกับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยจะได้นัดประชุมเพื่อหารือแนวทางการดำเนินการในวันที่ 26 มิ.ย.นี้

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวเดลินิวส์ ยังได้รับการเปิดเผยเพิ่มเติมจาก พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษและในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ว่า เบื้องต้นทางดีเอสไอมีพยานหลักฐานบางส่วน ซึ่งเป็นข้อมูลที่คณะผู้บริหารชุดใหม่ได้นำส่งไว้ก่อนหน้านี้ อาทิ พฤติการณ์ความเกี่ยวข้องของบุคคลต่างๆ ที่อาจมีส่วนในการร่วมกระทำความผิด เช่น พฤติการณ์การตกแต่งงบบัญชี เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ทาง ก.ล.ต. จะเป็นหน่วยงานหลักในการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว และในวันจันทร์ที่ 26 มิ.ย.นี้ ดีเอสไอจะต้องไปหารือกับทาง ก.ล.ต. เพื่อกำหนดแนวทางการสืบสวนสอบสวนหาตัวผู้กระทำความผิด หรือผู้ที่เชื่อได้ว่ามีส่วนร่วมในการกระทำความผิด และจะร่วมพิจารณาพยานหลักฐานเบื้องต้นของสองหน่วยงานว่ามีความสอดคล้องกันหรือไม่ อย่างไร เนื่องจากข้อมูลที่ดีเอสไอมีขณะนี้ คือรายการเดินบัญชีธนาคาร (Statement) การทำธุรกรรมทางการเงินที่ผู้ตรวจสอบบัญชีพบความผิดปกติ นอกจากนี้ในการพิจารณาองค์ประกอบความผิดนั้น จะยึดตามพฤติการณ์ที่ปรากฏในพยานหลักฐาน หากหลักฐานปรากฏเชื่อมโยงถึงกรรมการ ผู้บริหาร หรือบุคคลอื่นใด ขั้นตอนถัดไป พนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะพิจารณาออกหมายเรียกให้บุคคลดังกล่าวเข้ามาชี้แจงในฐานะพยาน พร้อมเอกสาร/หลักฐาน แต่ถ้าหากระหว่างนั้น พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานจนได้ข้อเท็จจริงชัดเจนว่าผู้ใดกระทำความผิด ก็อาจจะดำเนินการออกหมายเรียกผู้ต้องหา ส่วนข้อกล่าวหาเบื้องต้น คาดว่าจะพิจารณาในฐานความผิดของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์. พ.ศ. 2535 และร่วมกันฟอกเงิน.