ตามปรากฏข่าวทางสื่อมวลชน กรณีนายบุญยืน กลิ่นศรีสุข อายุ 59 ปี ร้องเรียนตำรวจชุดสืบสวนจังหวัดชัยภูมิบุกค้นบ้าน จับลูกชายข้อหาค้ายาบ้า หลังค้นเงินเก็บหายกว่า 3 หมื่นบาท พ่องัดวงจรปิดแจ้งความ ผ่าน 6 เดือน ยังไม่คืบหน้า จึงโพสต์ขอความเป็นธรรมผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ และมีการเผยแพร่ทางสื่อมวลชนแขนงต่างๆ เป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของตำรวจ นั้น
คืบหน้าเมื่อวันที่ 6 ก.ย. ที่ห้องประชุม สปก. สำนักงานตำรวจภูธรจังหวัดชัยภูมิ พล.ต.ต.ฉลอง สุขจันทร์ ผบก.ภ.จว.ชัยภูมิ เปิดเผยว่า กรณีดังกล่าวเชื่อว่าตำรวจชุดจับกุมไม่ได้ขโมยเงินไปแน่นอน โดยจากการตรวจสอบทราบว่า เมื่อเย็นวันที่ 8 มี.ค. 64 ตำรวจปราบปรามยาเสพติดจังหวัดชัยภูมิได้เข้าตรวจค้นบ้านผู้ร้องจริง และเจ้าหน้าที่ได้แสดงตัวทำหน้าที่ในกรอบของกฎหมาย ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาอาจไม่เข้าใจในการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจบางประเด็น จึงมีการพูดคุยกันจนเข้าใจกันดีแล้ว ส่วนที่เป็นประเด็นอีก คือ เรื่องจำนวนเงิน ที่เดิมในวันเกิดเหตุ ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้กล่าวถึง แต่ต่อมาผู้ถูกกล่าวหาได้มาแจ้งความที่ สภ.บำเหน็จณรงค์ ว่า ชุดสืบสวนได้ตรวจค้นยึดยาเสพติดไปพร้อมเงินจำนวนหนึ่งประมาณ 32,000 เศษ เมื่อเจ้าหน้าที่พิสูจน์ทราบว่าเงินอีกส่วนหนึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด ทางเจ้าหน้าที่ได้คืนเงินจำนวนดังกล่าวกลับคืนให้กับผู้ถูกกล่าวหาไปเรียบร้อยแล้ว
พล.ต.ต.ฉลอง กล่าวต่อว่า ภายหลังผู้ถูกกล่าวหาได้แจ้งความดำเนินคดีกับชุดจับกุม ทางพนักงานสอบสวน สภ.บำเหน็จณรงค์ ได้ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐาน และส่งเรื่องให้คณะกรรมการป.ป.ท.ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายแล้ว ส่วนผู้ต้องหารายดังกล่าวที่ผ่านมาเคยถูกเจ้าหน้าที่จับกุมดำเนินคดีกับพี่ชาย 2 ครั้งและน้องชายถูกดำเนินคดีมาแล้ว 1 ครั้ง มาแล้วก่อนหน้านี้
นายบุญยืน ซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน และเป็นพ่อของนายท็อป หรือ เกียรติศักดิ์ ที่ตำรวจบุกมาจับกุม รวมทั้งเป็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ กล่าวว่า ในวันเกิดเหตุรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก กำลังนอนที่เปลไกวหลาน จู่ๆ ก็มีชายฉกรรจ์ ประมาณ 7-8 คน วิ่งเข้ามาในบ้าน จากนั้นก็สั่งให้ตนและภรรยานั่งลงอย่าขัดขืน พร้อมอ้างว่าเป็นตำรวจ ป.ป.ส. จากนั้นได้วิ่งขึ้นไปบนบ้านชั้น 2 ที่มีนายท็อป ลูกชายตนกำลังทำงานอยู่ ตนรู้สึกห่วงความปลอดภัย จึงวิ่งตามขึ้นไปดู พบว่าลูกชายกำลังถูกทำร้ายร่างกาย ตนทนไม่ไหวจึงพยายามที่จะเข้าไปช่วย แต่ชายฉกรรจ์ที่อ้างว่าเป็นตำรวจไม่ยอมพร้อมกับช่วยกันผลักดันตนออกมา หลังจากนั้นก็นำตัวลูกชายตนไป
นายบุญยืน กล่าวต่อไปว่า ขณะนั้นตนไม่ทราบว่าเป็นตำรวจจริงหรือไม่ จึงไปแจ้งความไว้กับ สภ.บำเหน็จณรงค์ พร้อมกับนำภาพจากกล้องวงจรปิดไปประกอบเป็นหลักฐานในการแจ้งความด้วย ซึ่งต่อมาทราบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสอบสวนจากจังหวัดชัยภูมิ ตนจึงได้ติดตามไปที่กองกับการสืบสวนสอบสวนจังหวัดชัยภูมิ เพื่อขอทราบความเป็นอยู่ของลูกชาย ซึ่งต่อมาทราบว่าลูกชายได้กระทำความผิดจริงโดยการตรวจสารเสพติดพบปัสสาวะเป็นสีม่วง และถูกดำเนินคดีตามขั้นตอนกฎหมาย
นายบุญยืน กล่าวต่อว่า ภายหลังตนได้กลับมาบ้าน ทางภรรยาแจ้งว่ามีทรัพย์สินสูญหายไป คือ เงินสดจำนวน 32,460 บาท โดยเงินสดถูกแบ่งออกไปเก็บแยกไว้ 2 ส่วน ส่วนที่ 1 จำนวน 13,460 บาทเก็บไว้ในกระเป๋าสีเหลือง และอีกจำนวน19,000 บาทถูกเก็บไว้ในกระเป๋าสีเทา จากนั้นตนและลูกชายอีกคนได้ทำการเปิดกล้องวงจรปิดดู พบว่ากระเป๋าสีเทาที่มีสายสะพาย มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งถือติดมือไป ส่วนกระเป๋าสีเหลืองอีกใบ ยังคงวางทิ้งไว้ที่โต๊ะทำงานเหมือนเดิม ขณะเดียวกันยังพบอีกภาพขณะที่ตำรวจสวมเสื้อสีขาวกำลังกำสิ่งของบางอย่างคล้ายธนบัตร แอบยัดใส่กระเป๋ากางเกงด้วย ในวันต่อมาตนได้ไปติดตามทวงถาม เจ้าหน้าที่จึงได้คืนเงินกลับมาให้ 13,460 บาท
อย่างไรก็ตามเงินจำนวนทั้งหมดนั้นเป็นเงินเก็บบางส่วนและเงินจากการขายวัว 2 ตัว ซึ่งจะเก็บไว้ใช้จ่ายในครอบครัว ตนเชื่อว่าเงินจำนวนที่หายไปนั้น จะต้องมีเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดที่เข้ามาทำการจับกุมในวันนั้น มีส่วนรู้เห็นอย่างแน่นอน และตนมองว่าตนและครอบครัวไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงเข้าแจ้งความไว้ จนเวลาล่วงเลยไปนานกว่า 6 เดือนคดีไม่มีความคืบหน้า ตนจึงให้ลูกชายโพสต์ลงในเพจส่วนตัว เพื่อขอควมเป็นธรรมจากสื่อโซเชียล และจะขอดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดต่อไป.