“อยากขอความร่วมมือแฟนบอลกลุ่มดังกล่าว พิจารณาถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการทำผิดระเบียบ”
“ความผิดที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งไม่ว่าจะเป็น ฟุตบอล ฟุตซอล หรือฟุตบอลชายหาด จะถูกคาดโทษสะสม และปัจจุบันประเทศไทยถูกคาดโทษขั้นรุนแรงแล้ว ซึ่งอาจถูกคำสั่งห้ามจัดการแข่งขันได้ ก็อยากให้แฟนบอลกลุ่มนี้เข้าใจและมองถึงผลกระทบของความเสียหายที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและอนาคตด้วย”
นั่นคือคำพูดของ “บิ๊กป๋อม” อดิศักดิ์ เบ็ญจศิริวรรณ อุปนายกสมาคม และประธานพัฒนาฟุตซอลและฟุตบอลชายหาด หลังจาก เอเอฟซี มีคำสั่ง ปรับเงินสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ รวม 70,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.4 ล้านบาท จากกรณีแฟนบอลจุดพลุ ในช่วงการแข่งขันฟุตบอลชายหาดชิงแชมป์เอเชีย ที่พัทยา เมื่อเดือน มี.ค.
โดยมีการจุดถึง 4 แมตช์ ที่ไทยแข่งขัน
และแน่นอน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ สมาคมบอลไทย โดนลงโทษจากเหตุแฟนบอลจุดพลุ ในช่วงไม่นานมานี้ สมาคมบอลไทย ก็โดนปรับมาแล้ว 3 ครั้ง จากการจุดพลุ
เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สหพันธ์ฟุตบอลอาเซียน (เอเอฟเอฟ) ปรับเงิน 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 6.9 แสนบาท) กรณีมีแฟนบอลจุดพลุในศึกฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน เมื่อ 26 ธ.ค. 65 ในคู่ที่ ไทย ถล่ม ฟิลิปปินส์ 4-0
ปี 2557 ปรับเงิน 11,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.8 แสนบาท) จากเหตุแฟนบอลจุดพลุในเกมที่ ไทย แพ้ มาเลเซีย 0-1 ศึกฟุตบอล 16 ปี ชิงแชมป์เอเชีย รอบคัดเลือก ที่สนามเมืองทอง เมื่อวันที่ 6 ก.ย. 57
ปี 2560 ปรับเงิน 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.03 ล้านบาท) แฟนบอลจุดพลุในสนาม เกมที่ ไทย ชนะ อินโดนีเซีย 2-0 ศึกชิงแชมป์อาเซียน 2016 ที่ราชมังคลากีฬาสถาน เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 59
รวมแล้ว 4.5 ล้านบาท ที่ สมาคมบอลไทย ต้องเสียไปเปล่าๆ แทนที่จะมาทำประโยชน์ด้านอื่น
และแน่นอนจากโทษสมทบมา หากมีความผิดครั้งต่อไป มีโอกาสสูง ที่จะโดนมากกว่าปรับเงิน
ไปถึงขั้นห้ามแฟนบอลเข้าสนาม หรือห้ามจัดแข่งขันในบ้าน
เสียหายใหญ่หลวง
โดยเฉพาะกับฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก 2026 ที่จะเริ่มเดือน พ.ย. นี้ ซึ่งจัดแบบเหย้า-เยือน
ถ้าโดนห้ามแฟนเข้าสนาม จะสูญเสียความได้เปรียบเรื่องเสียงเชียร์
ยิ่งถ้าโดนห้ามจัดในบ้าน ยิ่งเสียหายไปกันใหญ่ ความหวังแทบดับวูบ
เปรียบเสมือนโทษประหารที่รออยู่
แล้วถ้าเป็นเช่นนั้น ใครจะรับผิดชอบ
ทำงานแทบตาย ซ้อมกันแทบตาย กลับมาพังไม่เป็นท่า เพราะความคะนองของคนส่วนหนึ่งเท่านั้น.
*** วุฒินล ***