เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ที่พรรคก้าวไกล นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงหลังจากทราบผลโพล 3 สำนัก พรรคก้าวไกลมีคะแนนนำว่า โพลจาก 3 สถาบัน ทิศทางเป็นไปตามนั้น โดยเฉพาะนิด้าโพล ที่ กทม. พรรคก้าวไกล ได้ 32 จาก 33 เขต เชื่อว่าเป็นตามนั้น ขณะที่ภาคอีสาน ภาคเหนือ แม้ผลโพลจะน้อยไป แต่จากการรายงานในพื้นที่พบว่า หลายพื้นที่พรรคก้าวไกล มีคะแนนนำอยู่ สิ่งที่พอสรุปได้คือ

ที่ 1 ของก้าวไกลมีสิทธิเป็นไปตามโพล ดูแล้วตัวเลขคะแนนพรรคก้าวไกลจะทะลุ 3 หลักแน่นอน ถ้าโพลเป็นเช่นนั้น พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย ก็มีเสียงเพียงพอจับมือตั้งรัฐบาลเป็นเสียงข้างมากได้ เป็นนิมิตหมายที่ดี การเปลี่ยนแปลงมาถึงประเทศไทยแล้ว ส่วนคะแนนนอกราชอาณาจักรและนอกเขต ที่พรรคก้าวไกลก็ต้องขอบคุณ จะทำงานไม่ให้ทุกคนผิดหวัง

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะคุยพรรคเพื่อไทยเรื่องตั้งรัฐบาลหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ยังไม่ได้คุย รอมติประชาชนให้นับจนเสร็จก่อน คงมีโอกาสได้คุยกัน 4-5 ทุ่ม เป็นต้นไป จะได้ยินดีกัน จะให้กรรมการบริหารพรรคร่วมตัดสินใจด้วย ผู้สื่อข่าวถามว่า พร้อมทำงานตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า การทำงานร่วมกันของฝ่ายค้าน จะตอบโจทย์ความท้าทายประเทศที่สุด เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปด้วยกัน

ทั้งนี้ การจัดตั้งรัฐบาลจะต้องมีการทำเอ็มโอยูและตั้งเงื่อนไข จะต้องปรึกษากับกรรมการบริหารพรรคก่อน ถ้าพรรคก้าวไกลมีอำนาจต่อรอง ก็จะต่อรองเพื่อประชาชน คิดถึงประชาชนเป็นตัวตั้ง ตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นแค่สะพานผลักดันเรื่องนโยบายที่ให้ไว้กับประชาชน เรื่องจำนวนไม่ได้ซีเรียส แต่สิ่งที่สัญญากับประชาชนต้องทำให้สำเร็จ

ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันจะมาร่วมตั้งรัฐบาลด้วยเป็นไปไหม นายพิธา กล่าวว่า ใครเปลี่ยนอุดมการณ์คุยกันยากหน่อย แต่จุดยืนที่ชัดอยู่คือ มีลุงไม่มีเรา มีเราไม่มีลุง ดังนั้น พรรคร่วมรัฐบาลที่เป็นพรรคทหารจำแลงทั้งสองพรรค ไม่ว่าใครจะเป็นหัวหน้าพรรคคือ ไม่ได้อยู่ใน ครม. ของเรา หากมีการเปลี่ยนอุดมการณ์จริง ก็ต้องมาพูดคุยกันว่า อุดมการณ์ตอนนี้คืออะไร เมื่อถามว่า ถ้าไม่มีชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะร่วมรัฐบาลกันได้หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ไม่เกี่ยวกับเรื่องบุคคลทั้งสอง พรรคบอกเลยว่า ไม่ว่าหัวหน้าพรรคของพรรคพลังประชารัฐและรวมไทยสร้างชาติจะเป็นใคร ก็จะไม่มีพรรคก้าวไกลอยู่ในนั้น

เมื่อถามว่า ถ้าเป็นพรรคภูมิใจไทยจะได้หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ต้องมาพูดคุยกันอีกครั้ง ดูน้ำหนักทางการเมือง อย่างที่บอกตอนนี้ ไม่มีความจำเป็นที่ต้องนำพรรคอื่นมาร่วมด้วย ถ้าผลคะแนนยังเป็นเช่นนี้ พรรคร่วมฝ่ายค้านเดิมคือ พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล และพรรคร่วมฝ่ายค้านอื่น ก็พอตั้งรัฐบาลได้ เมื่อถามว่า ถ้าพรรคก้าวไกลได้คะแนนเป็นอันดับ 1 พร้อมเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลหรือไม่ นายพิธา ตอบว่า แน่นอน เพราะเป็นไปตามหลักประชาธิปไตย พรรคที่มาเป็นที่ 1 ย่อมมีสิทธิจัดตั้งรัฐบาลมากที่สุด

เมื่อถามว่า ถ้าพรรคก้าวไกลได้คะแนนเป็นที่ 1 แต่มีอุปสรรคอยู่ที่ ส.ว. ไม่โหวตให้ จะทำอย่างไร นายพิธา กล่าวว่า อย่าเพิ่งไปคาดเดาถึงขณะนั้น บางทีเราอาจมีโจทย์หลอก หรือคิดไปเองมากเกินไป เชื่อว่า 4-5 ปีที่ผ่านมา วุฒิสภาเห็นภาพการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยพอสมควร ส.ว. หลายคนพูดว่าไม่ต้องการฝืนมติประชาชน ดังนั้น ต้องดูน้ำหนักการเมืองอีกครั้ง เมื่อประชาชนแสดงเจตจำนงแล้ว ต้องการให้ใครเป็นคนแบกความฝัน ความหวัง ไม่ควรมีใครไปฝืนมติประชาชนหมู่มาก ไม่เป็นสิ่งดี รวมถึงคนที่จะโหวตสวนด้วย

เมื่อถามว่า พรรคก้าวไกลจะมีการลดเพดานเรื่องจุดยืนทางการเมือง ในการตั้งรัฐบาลหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ไม่มีการลดเพดานจุดยืนทางการเมือง จุดยืนเรายังเหมือนเดิม แต่ถ้าจะถามว่า นโยบายใครก่อนหรือหลัง เป็นเรื่องระบบรัฐสภา ต้องดูน้ำหนักการเมืองว่า ใครมาเป็นอันดับ 1 และ 2 ต้องมาเจรจากัน อะไรที่เห็นร่วมด้วยกัน ก็ช่วยกันดำเนินการให้เกิดขึ้นได้ 3-4 นโยบาย ที่เป็นเรื่องหลักของพรรคก้าวไกล ไม่ต่างกับนโยบายหลักพรรคเพื่อไทยมาก เชื่อว่าจะทำตามโรดแม็พที่ต้องการได้

เมื่อถามว่า หากนายพิธาเป็นนายกฯ จะสื่อสารกับคนที่เห็นต่างอย่างไร นายพิธา กล่าวว่า ต้องใช้ความอดทน มีวุฒิภาวะ เพราะทุกสังคมมีความขัดแย้ง อยู่ที่กระบวนการและวิธีทำงานที่มีระบบรัฐสภาสร้างขึ้นมาแก้ไขความขัดแย้ง ถ้ายังยึดมั่นระบบรัฐสภา ทำงานเต็มที่ คืนศรัทธาให้ระบบรัฐสภา ทำงานตามเจตนารมณ์ประชาชน ไม่ทุจริต ทำให้การเมืองเข้มแข็ง จะแก้ไขความขัดแย้งในสังคมได้

เมื่อถามว่า ประเมินแล้ว ฝ่ายพรรค 2 ลุง จะพุ่งขึ้นมาจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ตัวเลขขณะนี้คงไม่ใกล้ความจริงเท่าไร แสดงว่า ประชาชนต้องการเปลี่ยนแปลง แต่ต้องจับตามการนับคะแนนให้บริสุทธิ์ที่สุด.