ทำเอานักแสดงรุ่นใหญ่ปรี๊ดแตกกันเลยทีเดียว สำหรับ “โก้-ธีรศักดิ์ พันธุจริยา” หลังจากที่อดทนกับพฤติกรรมของเพื่อนบ้านมหาภัยมานาน ล่าสุดเจ้าตัวออกมาแชร์ประสบการณ์ที่ต้องเจอกับเพื่อนบ้าน ทำพฤติกรรมสุดทน ด้วยการปาถุงปัสสาวะใส่หลังคาบ้าน ในรายการโต๊ะหนูแหม่ม พร้อมเผยทางออกที่ตนเองเลือกแล้ว
โก้ เผยว่า “ถูกเพื่อนบ้านสาดอุจจาระและปัสสาวะใส่หลังคาบ้านคือ เรื่องนี้เราโพสต์ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ในช่วงนั้นก็เหมือนเค้าสาดน้ำกรดมาใส่ลูกน้องเรา แล้วมันก็รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ประมาณ 2-3 สัปดาห์หลังก็จะเป็นน้ำปัสสาวะ อุจจาระ แล้วก็เหวี่ยงลงมาบ่อยๆ ในรูปแบบเป็นระเบิดถุงบ้าง หรือว่าเป็นลักษณะที่เป็นแก้วแล้วก็ตักสาด เพราะเค้านั้นก็ไม่ได้ทำกับเราหลังเดียว เค้าทำกับเพื่อนบ้านของเราด้วย คือคนที่ถ่ายคลิปเขาเป็นร้านทำผม และลูกค้าเขาก็จะน้อยลง พอลูกค้ามาก็เอาหินเขวี้ยงรถเขา หรือบางครั้งก็เอาน้ำปัสสาวะไปสาดเค้า อยู่ๆ เอาน้ำอุจจาระปาเข้าไปในร้านและมันเหม็นกลิ่นอบอวล ซึ่งปกติเราก็จะเห็นเป็นถุงมาแปะอยู่ที่หน้าบ้านของเรา แต่คลิปที่เราลงก็คือเห็นชัดเจนเลย ว่าเค้ากำลังถือถุงปัสสาวะ อุจจาระอยู่ คือเจ้าของบ้านหลังนี้เค้าไม่ได้ทะเลาะกับเราคนเดียว ซึ่งบ้านที่อยู่ในแถวนั้นเริ่มออกมาประกาศขายกันเกือบหมดแล้ว”
“จุดเริ่มต้นเรื่องนี้มานาน 5 ปีแล้วคือ เริ่มแรกเค้าจะเริ่มส่งเสียงก่อน ไม่รู้ว่าทำอาหารหรือทำอะไร แล้วก็ตะโกนด่ากันโวยวาย ซึ่งในบ้านเค้ามีอยู่ 4 คน คนที่ทำมีอยู่ 2 คน และหลังจากนั้นเราก็เริ่มศึกษาเรียนรู้และขอความช่วยเหลือร้องทุกข์ จนแบบตอนนี้ทุกคนเริ่มตระหนักรู้ว่า เราต้องอยู่กับเขายังไง 5 ปีที่ผ่านมา เราก็อยู่กันปกติสุขไม่ได้มีปัญหาอะไรกันเลย แล้วเหมือนครอบครัวเขาลูกชายจะทำธุรกิจขายรถมือสอง ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา รถมือสองที่เค้าขายก็เอามาจอดในซอยปล่อยให้เน่ายางแตก ก็เลยคาดว่าอาจจะเกิดภาวะไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องของการค้าขายหรือเปล่า หรือเครียดแล้วก็มาลงกับเพื่อนบ้าน เรื่องการเจรจาเคยพูดแล้ว และให้พี่สาวคุยกับแม่เขาแล้ว จนกระทั่งตำรวจก็เหมือนได้มีการเรียกคุณแม่เค้าไปแล้ว บอกว่าต้องรับผิดชอบถ้าสมมุติลูกทำความเสียหายอะไรมา คุณแม่ต้องดูแลลูกดีๆ นะ แต่พอกลับมาทุกอย่างเหมือนเดิม และไม่ใช่มาวันละครั้งมาทุกครั้งหลังอาหาร คือเราก็อยากให้เขาหาย อยากให้เค้าคุยดีๆ เพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนบ้านกัน ถ้าไม่ไหวก็ไปรักษาและกลับมาเป็นเพื่อนบ้านกันได้”
โก้ เล่าต่อว่า “เคยไปแจ้งความ แล้วเค้าก็ต้องเสียค่าปรับ ซึ่งตอนแรกเราตั้งแต่จะสู้ และหลายคนบอกว่าทำไมต้องย้ายออก แต่เราคิดว่าทำไมต้องออก หรือว่าคนถูกจะต้องเป็นฝั่งที่ยอมแพ้ เราก็คิดว่าเราจะไม่ยอม แต่ตำรวจบอกว่าความผิดที่เค้าทำเวลาขึ้นศาลมันจะถูกปรับแค่ 500 เอง แต่เราก็คิดว่าปรับ 500 มันเข้าเราหรือเข้ารัฐ ซึ่งมันดูเหมือนจะเป็นเรื่องขำ แต่คนที่ไปอยู่ในพื้นที่ จริงอยู่ในภาวะแบบนั้นมันเครียด มีนักข่าวหลายคนมา พอนักข่าวมาเค้าก็โดนด่าโดนเหวี่ยงโดนเทฉี่ จนเราก็เหนื่อยใจ แถมยังออกมามีปากมีเสียงกับนักข่าวทุกสังกัด เราก็อ่านคอมเมนต์ที่บอกว่าเขวี้ยงมากเขวี้นงกลับไม่โกง ซึ่งเราก็คิดนะว่าอยากจะตอบโต้ แต่พี่สาวบอกว่าอย่าไปทะเลาะกับเขาเลย และหลานก็กำลังจะเข้าวงการบันเทิงด้วย ไม่อยากจะให้มีปัญหากัน ถ้ามันเกิดมีความรุนแรงมีความสูญเสียมันจะไม่โอเค ซึ่งตอนนี้เราก็พยายามปรับอารมณ์ใหม่ และคิดว่าจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอก แต่ยังไม่ขายบ้าน”