สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 7 พ.ค. ว่า การเตือนภัยระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากเกิดการหลอกลวงทางออนไลน์ในภูมิภาค ซึ่งมักจะดำเนินการโดยเหยื่อการค้ามนุษย์ที่ถูกหลอก หรือถูกบีบบังคับให้โปรโมตการลงทุนคริปโตฯ ปลอม

นางมิเชล ซาบิโน โฆษกหญิงประจำกลุ่มต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ ของกองกำลังตำรวจแห่งชาติฟิลิปปินส์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจบุกค้นอาคารหลายหลัง ในเมืองทาบาลากัต ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงมะนิลาไปทางเหนือประมาณ 90 กิโลเมตร เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

ตำรวจสามารถช่วยเหลือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อทั้งหมด 1,090 คน ซึ่งพวกเขาถูกบังคับให้ดำเนินการหลอกลวงทางออนไลน์ โดยพุ่งเป้าไปยังกลุ่มคนที่ไม่ระวังตัวในสหรัฐ, ยุโรป และแคนาดา

เจ้าหน้าที่จากกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีของฟิลิปปินส์ รวบรวมเอกสารการเดินทางของประชาชนมากกว่า 1,000 คน จากหลายประเทศ ซึ่งได้รับการช่วยเหลือในปกิบัติการทลายการค้ามนุษย์ ในพื้นที่ทางเหนือของกรุงมะนิลา

ซาบิโน กล่าวเพิ่มเติมว่า เหยื่อทุกรายถูกยึดหนังสือเดินทาง และต้องทำงานนานถึง 18 ชั่วโมงต่อวัน อีกทั้งพวกเขาจะโดนหักเงินเดือน หากมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน หรือหยุดพักเป็นเวลานาน

อนึ่ง ตำรวจกล่าวในแถลงการณ์แยกว่า เหยื่อส่วนใหญ่เป็นชาวจีน, ชาวเวียดนาม, ชาวฟิลิปปินส์ และชาวอินโดนีเซีย นอกจากนี้ยังมีเหยื่อที่มาจากมาเลเซีย, ไทย, ไต้หวัน, เมียนมา, ฮ่องกง และเนปาล ด้วยเช่นกัน

ซาบิโน ระบุเสริมว่า เหยื่อที่เป็นคนงานได้รับการฝึกให้ล่อลวงคนแปลกหน้าด้วยการสร้างความสัมพันธ์แบบปลอมๆ ก่อนที่จะหลอกให้อีกฝ่ายซื้อสกุลเงินดิจิทัล หรือฝากเงินเข้าบัญชีธนาคารปลอม

ทั้งนี้ ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นหัวหน้าของแผนการดังกล่าวอย่างน้อย 12 คน ถูกจับกุม และโดนตั้งข้อหาค้ามนุษย์ โดยในจำนวนข้างต้นเป็นชาวจีน 7 คน, ชาวอินโดนีเซีย 4 คน และชาวมาเลเซีย 1 คน ซึ่งซาบิโน กล่าวว่า ปฏิบัติการของตำรวจในครั้งนี้ เป็นผลมาจากคำร้องของเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียในกรุงมะนิลา ที่ขอให้ช่วยตามหาพลเมืองซึ่งตกเป็นเหยื่อ.

เครดิตภาพ : AFP