เมื่อวันที่ 19 เม.ย. น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่า ตนได้ติดตามงานนโยบายการศึกษาเรื่องต่างๆ ว่ามีการดำเนินการคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว หรือนโยบายใดมีข้อติดขัดอุปสรรคใดบ้าง ซึ่งการขับเคลื่อนการศึกษาถือว่าทุกหน่วยงานทำได้ดี ดังนั้นคิดว่าตนคงไม่กังวลกับเรื่องใดเป็นพิเศษ แม้จะมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามา โดยอยากให้สานต่อนโยบายลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เพราะถือว่าเป็นนโยบายที่สร้างความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนทุกคน นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้ติดตามการจัดทำประชาพิจารณ์ร่างระเบียบว่าด้วยนโยบายการจัดสวัสดิการภายในเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินของบุคลากรในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งร่างระเบียบดังกล่าวเป็นร่างระเบียบที่เชื่อมโยงกับนโยบายการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่ต้องการให้ครูมีเงินเดือนเหลือสุทธิหลังหักชำระหนี้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 โดยการจัดทำร่างระเบียบฉบับดังกล่าว ต้องการให้มีแนวปฏิบัติออกมาชัดเจน เพราะหากเป็นการสั่งการโดยที่ไม่มีระเบียบรองรับ อาจทำให้หน่วยงานที่เป็นผู้ปฏิบัติไม่กล้าที่จะดำเนินการอะไร ทั้งนี้ คาดว่าร่างระเบียบว่าด้วยนโยบายการจัดสวัสดิการภายในเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินของบุคลากรในสังกัด ศธ. จะดำเนินการเสร็จสิ้นในเร็วๆ นี้ และจากนั้นจะนำไปสู่การปฏิบัติโดยสถานีแก้หนี้ครูต่อไป

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ยังได้รายงานการเตรียมความพร้อมเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ซึ่ง สพฐ. จะมีการจัดประชุมผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) เพื่อชี้แจงการเตรียมความพร้อมเปิดภาคเรียนใหม่อย่างเป็นทางการ ซึ่ง สพฐ. ยืนยันว่าเด็กทุกคนมีที่นักเรียนและภาพรวมการรับนักเรียนในปีนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ส่วนประเด็นที่ขณะนี้มีการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จากประเทศอินเดีย และอาการของโรคค่อนข้างรุนแรง ซึ่งมีคนไทยติดแล้ว 6 รายนั้น เรื่องนี้ ศธ. ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มอนิเตอร์ข้อมูลโควิดสายพันธุ์ใหม่ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ทุกอยู่ 24 ชั่วโมง ดังนั้นขอให้สถานศึกษาทุกแห่ง เมื่อได้ยึดมาตรการป้องกันโควิดตามที่เคยมีการดำเนินการมาก่อนหน้านี้แล้ว สำหรับการฉีดวัคซีนเพิ่มโด๊สนั้น จะให้ สธ. เป็นผู้ให้ข้อมูลว่า สถานศึกษาจะต้องดำเนินการตามอย่างไรบ้าง