เมื่อวันที่ 15 เม.ย. ที่คุ้มขุนไชยทรงยศ (ศรี ฆารสินธุ์) หลังศาลหลักเมืองกาฬสินธุ์ ได้มีการประกอบพิธีทำบุญรวมญาติ อุทิศส่วนกุศลแด่ดวงวิญญาณบรรพบุรุษของบุตรหลานขุนไชยทรงยศ นายอำเภอเมืองกาฬสินธุ์คนแรก ต้นตระกูล “ฆารสินธุ์” นำโดย ผศ.ดร.วิทยา เจริญศิริ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม และนางอุษณีย์ ตุลาบดี (ฆารสินธุ์) ซึ่งมีหัวหน้าครอบครัวและบุตรหลานขุนไชยทรงยศ ร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก บรรยากาศเป็นไปด้วยความอบอุ่น

ผศ.ดร.วิทยา เจริญศิริ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม กล่าวว่า ขุนไชยทรงยศ ต้นตระกูล “ฆารสินธุ์” นายอำเภอเมืองกาฬสินธุ์คนแรก นามเดิมว่า “ศรี” เป็นชาว อ.วารินชำราบ เมืองอุบลราชธานี กำเนิดในตระกูลข้าราชการในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เริ่มรับราชการในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ก่อนที่จะย้ายมารับราชการโดยดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองกาฬสินธุ์คนแรก และภายหลังได้รับโปรดเกล้าฯ ราชทินนามเป็น “ขุนไชยทรงยศ”

ผศ.ดร.วิทยา กล่าวอีกว่า ขุนไชยทรงยศ สมรสกับสุภาพสตรีชาวเมืองกาฬสินธุ์ 2 ท่าน คือสมรสกับนางก้าน มีบุตรธิดา 4 คน และสมรสกับนางแจ่ม มีบุตรธิดา 8 คน ท่านได้ปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง นำความอยู่ดีมีสุขแก่มวลราษฎร ตามคำขวัญ “บำบัดทุกข์บำรุงสุข” ของกระทรวงมหาดไทย รวมทั้งนำความเจริญมาสู่เมืองกาฬสินธุ์หลายด้าน เช่น บูรณะศาลหลักเมืองกาฬสินธุ์ โดยอัญเชิญใบเสมา ศิลปะสมัยทวารวดีเมืองฟ้าแดดสงยาง มาประดิษฐานคู่กับเสาหลักเมืองเดิม, ได้รับมอบหมายจากพระยาชัยสุนทร (เก) เจ้าเมืองกาฬสินธุ์ อัญเชิญหลวงพ่อองค์ดำจากโบสถ์วัดบ้านนาขาม เมืองเขาวง (สมัยนั้น) มาประดิษฐานเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคูเมือง ที่วัดกลาง (พระอารามหลวง) เป็นต้น

“ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ออกพระราชบัญญัตินามสกุล ขุนไชยทรงยศ ได้ขอพระราชทานนามสกุลว่า “ฆารสินธุ์” เพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตรากตรำทุ่มเทกับการบริหารบ้านเมือง สุขภาพท่านจึงไม่ค่อยจะแข็งแรง จึงลาออกจากราชการเพื่อดูแลรักษาร่างกาย ก่อนที่จะถึงแก่กรรม สิริอายุได้ 63 ปี ทั้งนี้เพื่อสำนึกในพระคุณและแสดงความกตัญญูแก่ท่าน ซึ่งเป็นปูชนียบุคคลสำคัญคนหนึ่งของเมืองกาฬสินธุ์ และเป็นต้นตระกูล “ฆารสินธุ์” ซึ่งปัจจุบันมีพี่น้องวงศ์วานรวมกว่า 300 คน จึงได้ร่วมกันจัดสร้างอนุสาวรีย์ของท่าน และทำบุญรวมญาติ โดยทำบุญเลี้ยงพระ ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ เพื่อความเป็นสิริมงคลเป็นประจำทุกปี ในช่วงวันสงกรานต์ที่เป็นวันครอบครัวด้วย ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความอบอุ่น” ผศ.ดร.วิทยา กล่าว

อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ชื่นชอบเสี่ยงดวง ก็ไม่พลาดที่จะส่องเลขเด็ดจากขันน้ำมนต์ หลังพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์เสร็จพิธี โดยน้ำตาเทียนที่ปรากฏนั้น มองเห็นเป็นตัวเลข 1, 3, 8 ชัดเจน ซึ่งจะนำไปซื้อลอตเตอรี่ลุ้นรับรางวัลงวดวันที่ 16 เม.ย. นี้