“อ.เคก” รศ.ดร.ไพบูลย์ ศรีชัยสวัสดิ์ ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (ไอโอซี) ให้ไปทำหน้าที่ผู้ประเมินและผู้สังเกตุการณ์การตัดสิน และแนะนำการทำหน้าที่ผู้ตัดสินบนเวที มวยโอลิมปิก 2020 “โตเกียวเกมส์” เปิดเผยว่า หลังจากทาง “บิ๊กสมชาย” นายสมชาย พูลสวัสดิ์ ประธานฝ่ายเทคนิค ได้ให้ไปอบรมนักชกทีมชาติไทยชุด “โตเกียวเกมส์” ที่คว้าโควตาไปชก 5 คน ในเรื่องสไตล์การชกที่จะสามารถทำคะแนนในศึกโอลิมปิกหนนี้ ทาง นายสมชาติ พูลสวัสดิ์ ได้ไปดูแลการฝึกซ้อมของนักชกอย่างใกล้ชิด เน้นให้ชกตามสไตล์ที่จะสามารถทำคะแนนเข้ากับการตัดสินมวยโอลิมปิกครั้งนี้

โดยการให้คะแนนของศึกมวยในกีฬาโอลิมปิก ครั้งนี้ มีหลักใหญ่อยู่ 3 ข้อ คือ 1.ชก หรือ ต่อย ด้วยสันหมัด มีแรงส่งจากหัวไหล่ เข้าบริเวณด้านของลำตัว รวมทั้งใบหน้า แต่ห้ามต่ำกว่าเอว หรือแนวเข็มขัด 2.นักมวยต้องมีเทคนิค และแทคติกที่ดี ในการป้องกัน และตอบโต้ ทั้งฝ่ายรุก และฝ่ายรับ มีการชกแบบต่อเนื่อง ผสมผสานหลาย ๆ หมัด หรือการออกหมัดเป็นชุด สามารถควบคุมสถานการณ์ บนเวทีได้ดี จังหวะฟุตเวิร์กดี และการชกเข้าเป้าที่ลำตัว ถือว่าเป็นเทคนิคที่ดี เป็นหมัดที่มีคุณภาพ ตามกติกา และ ข้อ 3 นักมวยต้องมีความมุ่งมั่น มีความแข็งแรง ในการแข่งขัน ไม่ย่อท้อง่ายๆ เช่นยกที่ผ่านมา อาจถูกคู่ต่อสู้ชกมากกว่า หรือถูกชกล้ม โดนนับ แต่พอขึ้นยกใหม่ มีความมุ่งมั่นตั้งใจ กลับมาชกได้มากกว่า เป็นต้น

ทั้งนี้ ทางประธานฝ่ายเทคนิคฯ นายสมชาย พูลสวัสดิ์ ได้เน้นหนักกับสตาฟฟ์โค้ช และนักมวย เกี่ยวกับเทคนิค, แทคติก การชกในโอลิมปิกครั้งนี้ ให้เข้ากับหลักการให้คะแนน หรือการตัดสินมวยโอลิมปิกหนนี้มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการขยันต่อยหมัดชุดต่อเนื่อง ที่จะทำให้ได้แต้มเป็นกอบเป็นกำ เข้ากับหลักใหญ่ 3 ข้อ ในการตัดสินมวยโตเกียวเกมส์ ซึ่ง IOC ตั้งคณะกรรมการจัดมวยเฉพาะกิจ หรือ IOC BOXING TASK FORCE มาควบคุมดูแลการแข่งขัน แทนสหพันธ์มวยสากลสมัครเล่นนานาชาติ (AIBA) ที่ถูกแบนอยู่

สำหรับนักชกไทย 5 รุ่น ที่คว้าโควตาไปชกในศึกมวยโอลิมปิก 2020 “โตเกียวเกมส์” ได้แก่ มวยสากลชาย 2 รุ่น ในรุ่นฟลายเวต (51 กก.) ธิติสรรณ์ ปั้นโหมด, รุ่นเฟเธอร์เวต (57 กก.) ฉัตร์ชัยเดชา บุตรดี และมวยหญิง 3 รุ่น ได้แก่ รุ่นฟลายเวต (52 กก.) จุฑามาศ จิตรพงศ์, รุ่นไลต์เวต (60 กก.) สุดาพร สีสอนดี และรุ่นเวลเตอร์เวต (69 กก.) ใบสน มณีก้อน