เมื่อวันที่ 29 ส.ค. ที่บริเวณทางลงอุโมงค์เกษตร แยกบางเขน-มุ่งหน้าวิภาวดีรังสิต นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ให้สัมภาษณ์ก่อนเริ่มกิจกรรมชุมนุมแบบ “Car Mob – Call Out” ว่า เราต้องการรวมพลังประชาชนแสดงออกในกิจกรรมคาร์ม็อบ ซึ่งครั้งนี้เป็นการนัดหมายครั้งสำคัญเพื่อประกาศการ การลงมติไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว. กลาโหม โดยประชาชน จากวันนี้จะมีการเคลื่อนไหวต่อเนื่อง แล้วมีการนัดหมายแสดงพลังครั้งใหญ่ในไม่กี่วันครั้งหน้า ซึ่งการอภิปรายในสภา เป็นบทบาทหน้าที่ของ ส.ส. แต่สำหรับประชาชนคนส่วนใหญ่ประเทศเชื่อว่า เราลงมติไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ ไปแล้วก่อนหน้านี้ และมีการแสดงพลังให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้รับทราบ ให้ ส.ส.ฝ่ายค้านและรัฐบาลได้ตระหนัก และตัดสินใจเลือก พล.อ.ประยุทธ์ หรือเลือกประชาชน เจ้าของประชาธิปไตย
นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า วันนี้เชื่อว่าขบวนคน ขบวนคนเพิ่มจำนวนขึ้นจากนครั้งที่แล้ว เราเพิ่มในเชิงภาพมาตลอด เชิงคุณภาพต้องการพิสูจน์เมื่อประชาชนเพิ่มขึ้น เราจะเดิมพันกับ พล.อ.ประยุทธ์ ในการลงมติไม่ไว้วางใจ ทั้งนี้ ตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์เข้ามายึดอำนาจการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้สำคัญที่สุดทางการเมือง สถานการณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ ขาดความชอบธรรมอย่างถึงที่สุด เป็นภาวะที่ประชาชนทั้งประเทศส่งเสียง ไม่รับอำนาจไม่รับการบริหารประเทศของพล.อ.ประยุทธ์อีกต่อไป
ดังนั้น แม้ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลจะสมประโยชน์ทางอำนาจทางการเมืองกันอยู่ แต่หากประชาชนร่วมกันแสดงพลังอย่างเปิดเผย ล้นหลาม เชื่อว่า ส.ส.ที่ต้องเดินกลับไปหาประชาชนต้องคิดให้มากเช่นเดียวกัน เมื่อประชาชนในทุกเขตเลือกตั้งปฏิเสธ พล.อ.ประยุทธ์ แล้ว ส.ส. ที่หักน้ำใจประชาชนลงมติไว้วางใจพ.ล.อ.ประยุทธ์ จะบากหน้ากลับไปหาประชาชนและอธิบายได้อย่างไร
นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า สถานการณ์การเมืองช่วง 1-2 สัปดาห์จากนี้ไปถือเป็นช่วงเวลาสำคัญ เรามีแนวทางชัดเจนไม่ลุย ไม่บวก ไม่ปะทะ แต่จะไม่ลดละการขับไล่ และจะมีการนัดหมายการชุมนุมใหญ่อีกครั้ง ทั้งนี้ถือว่าสถานการณ์ ในและนอกสภามาบรรจบพบกันในสัปดาห์หน้า เป็นสถานการณ์ใหญ่ต้องจับตามอง ตนขอแสดงความหวังให้ พล.อ.ประยุทธ์ รับฟังเสียงประชาชนทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาและยอมรับเสียที่ว่าหมดเวลาแล้ว ไม่มีศักยภาพขีดความสามารถพอที่จะรับมือวิกฤตินี้ได้ การประกาศสู้ต่ออยู่บนความบาดเจ็บล้มตาย เสียหายของประชาชน ซึ่งไม่เคยแสดงความรับผิดชอบใดๆ จนประชาชนต้องมาเรียกร้องให้แสดงความรับผิดชอบออกมาโดยเร็วที่สุด
นายณัฐวุฒิ ยังกล่าวอีกว่า สังคมเห็นชัดแล้วว่าแนวทางของเรามีแนวทางการต่อสู้ป้องกันการเผชิญหน้า หลีกเลี่ยงความรุนแรง ดังนั้นสถานการณ์ที่นอกเหนือเส้นทาง เป็นวาระกลุ่มต่างๆ ที่แสดงการต่อสู้ ตนไม่สามารถไปทักท้วงใดๆ แต่ขอห่วงใย ปรารถนาดีทุกกลุ่มว่าให้คำนึงความปลอดภัยตนเองและส่วนอื่นๆ คำนึงเหตุผลประโยชน์แท้จริงของการต่อสู่ จะเลือกแนวทางใดขอให้พิจารณากันอย่างรอบคอบ ส่วนขบวนเราจะเกิดขึ้นจบลงตามเป้าหมาย ไม่มีนอกเกม ไม่มีการสุ่มเสี่ยงความวุ่นวาย ประสานตำรวจอย่างต่อเนื่อง โดยเรามีเจตนาเปิดเผยต่อกัน ในการอำนวยความสะดวกประชาชน เราจะขับไล่นายกฯ อย่างสงบ สันติ ซึ่งกิจกรรมของเราที่จะจบลงในเวลา 18.30 น. จะปราศจากอาวุธ และเดินไปราบรื่นตามวัตถุประสงค์
์
“เราไม่จำเป็นต้องมีพลังใดๆ มากกว่านี้ ถ้าพล.อ.ประยุทธ์รู้จักประเมินตัวเอง หากยังเพิกเฉยดื้อด้านจะมีการเคลื่อยไหว และเรียกร้องพลังประชาชนออกมาแสดงพลัง ส่งเสียงให้ทุกอย่าง โดยชื่อว่าไม่ต้องสร้างความรุนแรงใดๆ ก็ผลักดันพลเอกประยุทธ์ออกไปได้ ตนขอท้าทาย หัวใจส.ส. ฝ่ายค้านและรัฐบาล ที่มาจากการเลือกตั้ง เมื่อประชาชนตายเกินหมื่น ป่วยเกินล้าน พินาจวอดวาย หากยังยกมือไว้วางใจก็ให้รู้กันไป”นายณัฐวุฒิ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการชุมนุมแบบ “Car Mob – Call Out” ในวันนี้เป็นไปอย่างคึกคัก โดยมีประชาชนที่นำรถยนต์ และรถจักรยานยนต์เข้าร่วมการชุมนุมจำนวนมาก โดยมีขบวนยาวตั้งแต่บริเวณทางลงอุโมงค์เกษตร แยกบางเขน-มุ่งหน้าวิภาวดีรังสิต ยาวไปตามถนนประเสริฐมนูกิจ จนถึงบริเวณทางกลับรถริมคลองบางบัว โดยมีระยะทางยาวกว่า 1 กิโลเมตร โดยแกนนำคนสำคัญที่ร่วมชุมนุมในวันนี้คือ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายธนัตถ์ ธนากิจอำนวย หรือไฮโซลูกนัท และนายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ก่อนที่ผู้ชุมนุมจะมีการเคลื่อนขบวนมีเหตุชุลมุนเกิดขึ้น เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางเขน ประกาศผ่านรถกระจายเสียงให้ผู้ชุมนุมเปิดช่องทางจราจรเลนขวาสุดเพื่อให้รถสามารถสัญจรลงอุโมงค์เกษตรได้ แต่ถูกผู้ชุมนุมบีบแตร และฮือไล่ จนนายณัฐวุฒิต้องเข้าไปห้ามปราม ก่อนที่ตำรวจจะนำรถขยายเสียงออกไป หลังจากนั้นผู้ชุมนุมจึงเริ่มเคลื่อนขบวนนเวลา 14.56 น. เพื่อเคลื่อนไปจัดกิจกรรมที่ ลานเทพปทุม จ.ปทุมธานี ต่อไป