การอภิปรายรอบนี้หลายคนอาจมองว่ากร่อยกว่าทุกรอบเพราะเป็นช่วงท้ายของรัฐบาล ไม่มีผลต่อการปรับ ครม. หรือตำแหน่งใดๆ อีกทั้งยังดูเหมือนเป็นพื้นที่ปราศรัยหาเสียงเรียกคะแนนจากประชาชนในช่วงใกล้เลือกตั้งของทั้งพรรคฝ่ายค้านและรัฐบาลเสียมากกว่า  

เมื่อเสร็จศึกในสภาแต่ละพรรคการเมืองก็ต่างแยกย้ายเร่งลงพื้นที่ทำคะแนนกันต่อ  รอคอยว่า บิ๊กตู่” จะยุบสภาและเลือกตั้งวันไหน  

อย่างไรก็ตาม ผลสืบเนื่องจากการอภิปรายหนนี้ ที่พอจะเกิดปฏิกิริยาตามมาอยู่บ้าง คือการอภิปรายประเด็น “จีนเทา-ไทยดำ”ของ “โรม” รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ถึงความเชื่อมโยงของขบวนการทุนจีนสีเทากับสายสัมพันธ์กับข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และคนระดับ “บิ๊กเบิ้ม” ในรัฐบาลนี้  

ที่ทำเอา “บิ๊กตู่” ควันออกหู คือ การเปิดข้อมูลว่า “อุปกิต ปาจรียางกูร“ ส.ว. ที่ให้ตึกเป็นที่ทำการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เกี่ยวข้องกับกระบวนการฟอกเงินยาเสพติด รวมถึงปมหลานชาย “บิ๊กตู่” ส่อมีเอี่ยวทำธุรกิจกับจีนเทา ตู้ห่าว” แต่ไม่เคยถูกกระบวนการยุติธรรมตรวจสอบและเข้าถึงได้  

ไม่รอช้าทาง “ส.ว.อุปกิต” ก็ได้ออกมาซัดกลับด้วยการฟ้องร้อง “โรม” ฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท พร้อมกับที่องครักษ์นายกฯ ออกมาระบุว่าได้ทำสัญญาเช่าที่ทำการพรรคอย่างถูกต้องตามกฎหมาย  

ด้าน “โรม” มีทีท่าไม่ยี่หระบอกว่าเป็นการฟ้องปิดปากแก้เก้อเหมือนที่โดนมาตลอดหลังการซักฟอกรัฐบาลทุกรอบ และท้าให้ผบ.ตร.เร่งดำเนินคดีกับ ส.ว.อุปกิต หลังวันที่ 28 ก.พ.นี้ ที่จะไม่มีเอกสิทธิ์สภาคุ้มครองแล้ว รวมทั้งขอให้ตำรวจไปบี้อัยการให้เรียกตัวหลาน “บิ๊กตู่” มาสอบสวนตามกระบวนการยุติธรรมโดยเร็ว  

ขณะที่ในส่วนของพรรคก้าวไกลเองก็พร้อมตั้งทีมสู้คดี โดยมีทีเด็ดบอกว่าจะขออำนาจศาลเรียกข้อมูลเชิงลึก จนคนฟ้องอาจฝ่อและขอถอนฟ้องไปเองหรือไม่   

เรียกว่าเป็นการกรีดแผลใหญ่ลงกลางสันหลัง “บิ๊กตู่” หลังย้ายจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) มาเริ่มต้นชีวิตทางการเมืองครั้งใหม่ ในฐานะว่าที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของพรรค รทสช. ซึ่งประเด็นเหล่านี้จะกระชากเรตติ้ง “บิ๊กตู่” ให้ดิ่งลงไปได้อีกหรือไม่นั้น ก็คงต้องไปวัดกันที่ผลการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในอีกไม่กี่เดือนนี้.