ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 14.25 น. วันที่ 15 ก.พ. น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย (พท.) อภิปรายถึงกรณีหลานชายของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เปิดธุรกิจส่วนตัวในค่ายทหารเพื่อรับเหมาก่อสร้าง ว่าการที่หลานชายพล.อ.ประยุทธ์ ใช้ค่ายทหารเปิดธุรกิจอาจจะเป็นพฤติกรรมเลียนแบบ เพราะลุงอยู่บ้านหลวง ไม่ยอมย้ายออกมา หลังพ้นจากตำแหน่งก็ไม่ยอมย้ายออกมา เป็นนักการเมืองก็ไม่ยอมย้ายออกมา หลานอาจจะเห็นลุงทำได้จึงเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ สำนวนไทยบอกว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น แต่นี่เรียกว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลค่าย

โดยหลานชายของ พล.อ.ประยุทธ์ หากินกับธุรกิจกองทัพตั้งแต่ปี 59 ที่มีเสียงวิจารณ์ว่าไม่เหมาะสมถึงการทำธุรกิจส่วนตัวและยังได้รับงานประมูลของรัฐในวงเงินที่สูง แต่หลังจากทนเสียงวิจารณ์ไม่ไหว จึงตัดสินใจย้ายออกจากค่ายเพื่อให้พ้นข้อครหา แต่ยังเดินหน้ารับงานประมูลของรัฐต่อเนื่อง ซึ่งห้างหุ้นส่วนดังกล่าวมีสิ่งน่าสงสัยอยู่หลายประการ จากการตรวจสอบในปี 55-56 มีผลประกอบการต่อเนื่องตลอด แต่ในปี 57 กลับเริ่มได้รับโครงการรัฐที่มีมูลค่าสูง ซึ่งเป็นช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ ทำการรัฐประหาร

น.ส.จิราพร กล่าวต่อไปว่า จากสถานะบริษัทที่ขาดทุน กลับชนะการประมูลรัฐ 3 โครงการมูลค่า 28 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการของกองทัพทั้งหมด และยังได้งานของรัฐต่อเนื่องตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นงานในพื้นที่ จ.พิษณุโลก และจังหวัดใกล้เคียง เป็นเขตรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 3 พูดง่ายๆ เป็นเขตอิทธิพลพ่อ บารมีลุง โดยช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาทำรัฐประหาร มีคนหนุ่มสาวออกมาต่อต้านการทำรัฐประหาร กลับถูกจับ แต่ลูกหลาน พล.อ.ประยุทธ์ กลับกอบโกยตักตวงผลประโยชน์ของรัฐอยู่

ทั้งนี้ ตั้งแต่ที่บริษัทของหลานชาย พล.อ.ประยุทธ์เริ่มได้รับโครงการรัฐและเป็นคู่สัญญากับรัฐ 28 ล้านบาท ขณะนั้นบริษัทมีทุนจดทะเบียนอยู่แค่ 1.5 ล้านบาท ซึ่งทุนจดทะเบียนจะเป็นหลักประกันแสดงสถานะทางการเงินและความน่าเชื่อถือของบริษัท หากเกิดการฟ้องร้องและบริษัทต้องชดใช้ค่าเสียหาย ฉะนั้นทุนจดทะเบียนที่สูงย่อมแสดงศักยภาพการชำระหนี้ได้มากกว่า แต่ทุนจดทะเบียนครั้งนั้นเพิ่งเริ่มทำธุรกิจเอาแบงก์ที่ไหนการันตี หากตอบไม่ได้แสดงว่าการได้งานครั้งนั้นก็เพราะนามสกุลจันทร์โอชามากกว่า

ต่อมาในปี 57 บริษัทของหลายชาย พล.อ.ประยุทธ์ ได้ประมูลงานรัฐได้รวมกันได้กว่า 10 ล้าน แต่ตรวจสอบแล้วพบว่ามีเครื่องมือเครื่องใช้ก่อสร้างเพียงแค่ 13 รายการ มูลค่า 385,574.71 บาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครื่องมือการช่างทั่วไป ไม่มีรายการที่จะสามารถรับงานขนาดใหญ่ได้ หากเป็นการเช่าครั้งคราวก็พอเข้าใจได้ แต่ผ่านมา 8 ปีแล้วจะเช่าตลอดเลยหรือ ฉะนั้นพฤติกรรมของบริษัทจึงเป็นเหมือนบริษัทที่ประมูลงานได้แล้วไปขายงานต่อมากกว่าที่จะดำเนินการเอง

สถานการณ์เช่นนี้อาจจะเป็นไปได้ว่ามีเครื่องจัดหนักอำนาจลุง อำนาจพ่อที่คอยจัดหนักให้หลานหรือไม่ จึงสามารถประมูลงานในกองทัพได้โดยไม่มีเครื่องมือที่เพียงพอ ทั้งนี้ หลังจากที่บริษัทของหลานชายพล.อ.ประยุทธ์ย้ายออกจากค่ายทหารออกมา ก็ออกมาตั้งสำนักงานใหญ่ข้างนอก ซึ่งมีลักษณะของบ้านธรรมดา ภายในบ้านพบรถเก๋งและรถส่งของแกร็บจอดอยู่ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีงานหลักรับเหมาก่อสร้าง แต่มีอาชีพเสริมคือขับรถแกร็บส่งของ หากลองตรวจสอบดูให้ดีกรรมการบริษัทอาจจะมีชื่อเป็นคนขับแกร็บ จึงยิ่งเป็นที่น่าสงสัยมากขึ้นว่าจะมีการฮั้วประมูลโครงการรัฐหรือไม่ จากการตรวจสอบบริษัทคู่แข่งบริษัทหลานชาย พล.อ.ประยุทธ์แล้ว สภาพบริษัททุกแห่งแล้วทรงอย่างแบด ชนะอย่างบ่อย ล้วนเป็นบริษัทที่ไม่ได้ใช้ในการรับงานระดับสิบล้านบาทได้เลย มีลักษณะเป็นแค่นอมอนีเพื่อให้บริษัทของหลานชายพล.อ.ประยุทธ์ชนะการประมูล แม้จะมีโครงการที่บริษัทหลานชายพล.อ.ประยุทธ์ไม่ชนะการประมูล แต่หากเทียบแล้วก็พบว่าบริษัทที่เข้าแข่งล้วนเป็นหน้าเดิม ซึ่งส่วนต่างของบริษัทที่แพ้ต่างกันแค่ 1% ทุกครั้ง

นอกจากนี้ยังมีโครงการที่ดูผิดวิสัยคือโครงการงานก่อสร้างชุดนายทหารชั้นประทวน 48 ครอบครัวพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก 1 หลังของกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ กรุงเทพมหานคร มูลค่ากว่า 47 ล้านบาท ซึ่งหลานชายพล.อ.ประยุทธ์ก็ขอซื้อซองประมูลด้วย และมีอีกบริษัทที่ขอซื้อซองประมูลด้วย แต่เมื่อเปิดประมูลกลับมีแค่บริษัทของหลานชายพล.อ.ประยุทธ์ประมูลเพียงบริษัทเดียว ทำไมอีกบริษัทจึงไม่เข้าประมูลต่อ ทั้งที่มีศักยภาพมากกว่า มีอิทธิพลอะไรห้ามไว้หรือไม่ ที่ผ่านมาเรามักจับตาดู 3 ป.ที่อยู่ในรัฐบาลว่าใหญ่โตกันมาก แต่จริงๆ ยังมีอีก 3 ป.ที่ใหญ่โต และส่อว่ามีอิทธิพลไม่แพ้กันคือ ป.ประยุทธ์ ป.ปรีชา และ ป.ปฐมพงษ์ 3 ป.ในรัฐบาลยังแยกกันเดินแล้ว แต่ 3 ป.นี้ยังรวมกันเดินอยู่

พฤติกรรมหลานชาย พล.อ.ประยุทธ์ ส่อว่าฮั้วประมูลไม่พอ ยังมีพฤติกรรมส่อตกแต่งบัญชีเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี แม้บริษัทนี้จะรับงานรัฐมาหลายล้านบาท แต่สถานะของบริษัทยังขาดทุน ซึ่งมีความแปลกประหลาดและผิดปกติ ทั้งนี้ หลังจากที่ย้ายบริษัทออกมาจากค่ายทหาร ค่าน้ำค่าไฟก็ลดลงด้วย ปีหนึ่งใช้ไฟแค่พันกว่าบาท เป็นไปได้อย่างไร ซึ่งมีความผิดปกติ อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ สั่งการไปตรวจสอบเพิ่มขึ้นอีก เพราะพฤติการณ์เหล่านี้เข้าข่ายการตกแต่งบัญชีเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอย่างชัดเจน หากเป็นธุรกิจคนอื่นคงต้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้นไปแล้ว

“การที่หลานชาย พล.อ.ประยุทธ์ ได้งานจากรัฐเข้าข่ายเป็นการฮั้วประมูล เป็นการทุจริตอย่างร้ายแรง พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะลุงและนายกรัฐมนตรีที่เคยประกาศว่าการปราบปรามเป็นวาระแห่งชาติ จนถึงตอนนี้เหลือเวลาในการดำรงตำแหน่งอีก 37 วัน ท่านจะดำเนินการอย่างไร และเสียภาษีของบริษัทดังกล่าวที่ได้งานมาโดยส่อฮั้วประมูลและได้งานของรัฐและยังมีงบบัญชีขาดดุล กรณีนี้พล.อ.ประยุทธ์ จะสั่งการให้กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพากรเข้าตรวจสอบได้หรือไม่ คนทั่วไปต้องจ่ายภาษีแบบหลบเลี่ยงไม่ได้ แต่หลานชายพล.อ.ประยุทธ์ทำได้ใช่หรือไม่ นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังปล่อยให้หลายชายเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทาของนาย ห. อีกด้วย ซึ่งบริษัทของหลานชายพล.อ.ประยุทธ์ขาดทุน แต่เอาเงินที่ไหนไปลงทุนทำธุรกิจ มีการตั้งข้อสงสัยว่านายตู้ห่าวให้หลานชายพล.อ.ประยุทธ์เป็นนอมินีและออกเงินให้ พล.อ.ประยุทธ์ จะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร เวลาเหลืออีก 37 วันก่อน พล.อ.ประยุทธ์ ลงจากตำแหน่งนายกฯ ช่วยพลิกเอาคดีของหลานชายมาทำให้คนไทยทั้งประเทศสิ้นความสงสัยด้วย” น.ส.จิราพร กล่าว.