สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงคาบูล ประเทศอัฟกานิสถาน เมื่อวันที่ 22 ส.ค. ว่า บริษัทฟิต์ช โซลูชันส์ ของสหรัฐ เผยแพร่รายงานว่า ในขณะที่ซีเรียและเมียนมาเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยระหว่าง 10-20% เนื่องจากวิกฤติการเมืองภายใน อัฟกานิสถานเป็นประเทศที่กำลังจะเผชิญกับสถานการณ์แบบเดียวกัน ในระดับที่เลวร้ายมากยิ่งขึ้นไปอีก แต่กลุ่มตาลีบันซึ่งหวนคืนสู่อำนาจครั้งแรกในรอบ 20 ปี "ยังคงมีช่องทางสร้างรายได้ด้วยวิธีอื่น"
ทั้งนี้ การถอนทหารของกองทัพสหรัฐ ซึ่งตามกำหนดคือต้องเสร็จสิ้นภายในวันที่ 31 ส.ค.นี้ มีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ( จีดีพี ) ของอัฟกานิสถานในปีนี้ ที่แม้เป็นประเทศอุมด้วยแร่ธาตุหลายชนิด แต่ต้องถดถอย "ไม่ต่ำกว่า 20%" แต่ตัวเลขดังกล่าวยังไม่ได้มาจาการวิเคราะห์ร่วมกับปัจจัยที่ว่า กลุ่มตาลีบันสามารถยึดครองของกรุงคาบูล "ได้แบบสายฟ้าแลบ"   
ขณะที่เงินอัฟกานี ซึ่งเป็นสกุลเงินประจำชาติของอัฟกานิสถาน อ่อนค่าลงแล้วมากกว่า 7% ในปัจจุบัน เมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และมีความเป็นไปได้สูงมาก ว่าค่าเงินดังกล่าวจะตกต่ำลงไปอีก ซึ่งเป็นผลจากการที่รัฐบาลตะวันตกและองค์กรระหว่างประเทศหลายแห่งระงับงบประมาณสนับสนุน และปิดกั้นอัฟกานิสถานจากการเข้าถึงแหล่งทุน ด้วยเกรงว่าเงินเหล่านั้นจะตกไปสู่มือของกลุ่มตาลีบัน ส่วนภาวะเงินเฟ้อยิ่งยวดเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน ในยุคที่อัฟกานิสถานต้องกลับไปอยู่ภายใต้การปกครองของกลุ่มตาลีบันอีกครั้ง
ในเวลาเดียวกัน รายงานของมูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การหวนคืนสู่อำนาจของกลุ่มตาลีบันยังสร้างแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจไปสู่ประเทศร่วมภูมิภาคด้วย ซึ่งจะต้องประเมินความเสี่ยงเกี่ยวกับการรับมือคลื่นผู้อพยพระลอกใหญ่.

เครดิตภาพ : REUTERS