เริ่มนับถอยหลังเข้าสู่โหมดเลือกตั้งกันแล้ว บรรดาพรรคการเมืองต่างคึกคักวางยุทธศาสตร์จัดทัพเตรียมโหมโรง รอเพียงเสียงนกหวีดดังขึ้นเท่านั้น  ดังนั้นเรามาดูกันว่าปีแห่งการเลือกตั้งครั้งนี้ หัวหน้าพรรคการเมืองจะมีวลีอะไรเด็ดๆ ออกมา และของใครจะ “ปังปุริเย่” โดนใจกันบ้างกับ 3 คำการเมืองปีกระต่าย (2566)   

จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ : “ปีเลือกตั้ง”

               ปี 2566 เป็นปีแห่งการเลือกตั้ง เนื่องจากรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรกำลังจะสิ้นสุดครบวาระในวันที่ 23 มี.ค. 2566 ซึ่งทำให้ต้องมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ และแม้สมมติเกิดอุบัติเหตุ มีการยุบสภา ก็ต้องจัดการเลือกตั้งภายใน 45-60 วัน ส่วนผลการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับประชาชนเป็นผู้ให้คำตอบ ดังนั้นถือว่า ในปีนี้การเมืองจะเข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง จึงเป็น “ปีเลือกตั้ง” ผมเป็นห่วงเรื่อง ธนกิจการเมือง คือ การใช้เงินมหาศาลในการเลือกตั้ง ซึ่งจะนำไปสู่การถอนทุน คืน และเกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นตามมา

 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ : “ไม่ขัดแย้ง”

การเมืองต้นปี 2566 เข้าสู่โหมดนับถอยหลังสู้ศึกเลือกตั้ง ทุกพรรคการเมืองต้องงัด “กลยุทธ์-ยุทธศาสตร์-นโยบาย-บุคลากร” มาเสนอให้กับประชาชนเจ้าของประเทศได้ตัดสินใจ ซึ่งคาดว่า จะเป็นการเลือกตั้งที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือด เพื่อให้ได้เป็นรัฐบาลโดย ศึกเลือกตั้งในรอบนี้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จะเข้ามานำทัพสู้ด้วยตัวเอง โดย “บิ๊กป้อม” มองว่า การเมืองจะต้อง “ไม่ขัดแย้ง” ไม่ว่าเรื่องอะไร เราต้องไม่ขัดแย้ง ผมและพรรคพลังประชารัฐ เราไม่มีความขัดแย้งกับทุกคน ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นหัวใจสำคัญในการเดินหน้าของพรรคพลังประชารัฐ เพราะพรรคต้องการก้าวผ่านความขัดแย้งทั้งหมด ตรงนี้ถือเป็นความเห็นส่วนตัวของผมเท่านั้น ส่วนจะไปเป็นแนวทางของพรรคหรือไม่ก็แล้วแต่ เพราะตอนนี้ที่พรรคพลังประชารัฐกำลังนโยบายทำกันอยู่

“ผมจะไม่ขัดแย้งกับใคร และเคยเห็นหรือไม่ว่า ผมเคยไปทะเลาะกับใครหรือเปล่า”

นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย : “พูดแล้วทำ” 

ตลอดปีที่ผ่านมา ต้องถือว่าพรรคภูมิใจไทย โดดเด่นมากจากคำว่า “พูดแล้วทำ” ที่เป็นคำพูดที่ติดหู และจะเป็นหนึ่งในสโลแกนแคมเปญของพรรคภูมิใจไทย “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เตรียมประกาศสู้ศึกเลือกตั้งในปี 66 เพราะเชื่อมั่นว่านโยบายต่างๆ ของพรรคที่ประกาศเอาไว้ในการหาเสียงเมื่อปี 62 สามารถทำได้จริง และที่สำคัญประชาชนจะได้ประโยชน์ โดยเฉพาะผลงานเด่น  ยก “คลายล็อกกัญชา-แก้ปัญหา กยศ.”  ถึงแม้จะไม่ถึงฝัน ตรงปกตามที่หาเสียงไว้ เพราะรอยร้าวในช่วงท้ายของพรรคร่วมรัฐบาล จากการไปตอกเสาเข็มในพื้นที่ภาคใต้ ไม่สบอารมณ์ “เจ้าที่” แต่พรรคภูมิใจไทยก็จะพลิกเกมตรงนี้มาเป็นจุดขายใหม่ในฐานะ พรรคปฏิบัติการ ที่ทำจริงทุกๆ เรื่องตามที่ได้สัญญาเอาไว้ตอนหาเสียงไม่ว่าจะเป็น “เราทำแล้ว” และ “ทำให้ดี” เพราะสุดท้ายแล้วเสียงสวรรค์ที่จะตัดสินคือประชาชน

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร : “คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน”

     “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย คือ คิดใหญ่ คิดใหญ่เพื่อก้าวข้ามผ่านวิกฤติ ของประเทศ ทำเป็น พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคเดียวที่สามารถพลิกฟื้นประเทศไทย ทำนโยบายให้เป็นจริงอย่างเป็นรูปธรรม  เพื่อไทยทุกคน เป้าหมายของพรรคเพื่อไทย คือ ทำให้ประเทศไทย เป็นของคนไทย เพื่อไทยทุกคน การเมืองปี 66 จะเป็นการเมืองที่เต็มไปด้วยความหวัง ความฝัน กับรัฐบาลที่ ‘คิดใหญ่’ และ ‘ทำเป็น’ เพื่อไทยทุกคน การเมืองปี 66 จะเป็นปีที่ประเทศไทยวิ่งไปข้างหน้า บ้านเมืองจะเปลี่ยนแปลงทุกมิติ เศรษฐกิจจะดีขึ้น ค่าแรงขั้นต่ำจะต้องเริ่มขยับขึ้น โดยเป้าหมายอยู่ที่ 600 บาทในปี 70 สาธารณสุขจะเข้ารับการรักษาง่ายขึ้น ครอบคลุมและป้องกันโรคมากขึ้น คมนาคมจะสะดวกสบาย พี่น้องทุกคนจะต้องเข้าถึงเทคโนโลยี ชีวิตที่ดีกว่าจะเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) : “เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์”

สำหรับ พรรครวมไทยสร้างชาติ ถือคติการทำงานตลอดทั้งชีวิต และปัจจุบัน จะต้องทำหน้าที่เป็นพลเมืองดี ทำงานด้วยความถูกต้อง ยึดมั่นเพื่อบ้านเมือง ทำทุกอย่างเพื่อประเทศชาติ และประชาชน ธำรงไว้ซึ่ง “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์”

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล : “เดิมพันสูง เฝ้ารอคอย เพื่อเปลี่ยนแปลง”  

เริ่มจาก เดิมพันสูง คือ ประเทศไทยที่ผ่านมามันเป็นทศวรรษที่ถอยหลัง ถ้าฝ่ายค้านไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงเข้าไปต่อสู้กับพรรคฝ่ายอนุรักษนิยมและต่อสู้กับ ส.ว. ซึ่งเป็นพรรคที่มีอยู่ 250 เสียง ตั้งแต่ต้นได้ ระบอบประยุทธ์ก็จะกลับมาใหม่ ซึ่งอย่างน้อยพรรคใหม่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องได้ 25 เสียง เพื่อเสนอแคนดิเดตนายกฯ ได้ หรือเป็นพรรคขนาดกลาง 25-40 เสียง แต่หลังจากนั้นจะบริหารอย่างไร ถึงเป็นนายกฯ ได้แต่ไม่สามารถบริหารหรือผ่านกฎหมายอะไรได้เลย จึงเป็นเดิมพันที่สูงมาก  

ในส่วนของประชาชนก็คือ การเฝ้ารอคอย เพื่อเปลี่ยนแปลง รอผู้นำคนใหม่ที่ทันสมัย เป็นสากลมีความอินเตอร์หน่อย และติดดินไปในตัว ที่ผ่านมาเราทิ้งเรื่องระหว่างประเทศไปเยอะ เพราะเรามาจากความชอบธรรมที่ไม่ดี ปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะของแพง น้ำมันแพง ค่าแรงถูก ทุกอย่างมันมาจากเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น มันจึงเป็นสิ่งที่จะให้คนที่อาจจะไม่ได้เรียนมาโดยตรง เป็นทหารอย่างเดียว มาทำไม่ได้ พรรคทหารจำแลงมันคงไปต่อไม่ได้  

ทีมข่าวการเมือง : รายงาน