หากพูดถึงศิลปินคุณภาพที่มีผลงานในวงการอย่างยาวนาน ต้องยกให้ศิลปินเสียงใส แพรว-คณิตกุล เนตรบุตร อดีตสมาชิกวง “คูณสามซูเปอร์แก๊ง (X3 Super Gang)” วงขวัญใจวัยรุ่นชื่อดังยุค 90 กระทั่ง ณ ตอนนี้ แพรวก็ยังไม่หยุดผลงานดี ๆ มากมาย โดยเฉพาะผลงานล่าสุด “ระบาย” ที่เจ้าตัวตั้งใจมอบให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย และบทเพลงที่คอยเยียวยาหัวใจผู้คน และยังเป็นการท้าทายตัวเองในฐานะศิลปินเบอร์แรกของค่าย “Seekr Music” ด้วย นอกจากนี้ยังเป็นที่รู้กันดีว่าแพรวนั้นยังเป็น “คริสเตียน” และเพื่อต้อนรับ “วันคริสต์มาส” ในวันที่ 25 ธ.ค.นี้ “บันเทิงเดลินิวส์” จึงขอพาแฟน ๆ มาพูดคุยกับแพรวทั้งผลงานใหม่ พร้อมไม่พลาดมาเปิดความหมายที่แท้จริงของ “วันคริสต์มาส”  รวมทั้งเรื่องราวที่ประทับใจและประสบการณ์การประกาศ ตลอดจนการที่แพรวส่งผ่านความรักของพระเจ้าผ่านบทเพลงไปแตะต้องหัวใจผู้คน ในฐานะของศิลปิน เพื่อฉลองช่วงเทศกาลแห่งความสุขนี้ไปด้วยกัน

Q : อัพเดทผลงานล่าสุด เพลง “ระบาย” อยากให้พูดถึงที่มาและแรงบันดาลใจของการทำเพลงนี้?

แพรว : ที่มาของเพลง ‘ระบาย’ คือเราไม่ได้เราทำเพลงมานานแล้ว และพี่น้องคริสเตียนที่โบสถ์ เขาทำร้านเนื้อย่างไม่เกี่ยวกับวงการเพลงเลย แต่ว่าพอความเป็นคริสเตียน ก็จะมีเพลงที่ฮีลเรา และเราก็รู้สึกว่าคนอื่นที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน มีอะไรที่พอจะฮีลเขาได้บ้าง ดูแลจิตใจเขา เวลาที่รู้สึกแย่ ให้มีกำลังใจที่ดี และทางที่เราถนัดก็เป็นเรื่องของเพลง ซึ่งคนที่เขาทำค่าย คือพี่แทน 35 Dry Aged Beef เขาเคยทำเพลงให้กับคริสเตียนอยู่แล้ว และคลุกคลีกับโปรดิวเซอร์ของแพรวมาตลอด เลยคุยกันว่าทำค่ายขึ้นมาดีกว่า อยากมีค่ายที่มีเพลงความหมายดี ๆ สำหรับใครที่สิ้นหวัง ไม่มีกำลังใจ ต้องการการเยียวยาหรือว่าอยากให้เป็นของของขวัญ เพราะมันจะเป็นเพลงบวก ๆ ถ้าเศร้า แต่ก็ทำให้เรารู้สึกมีกำลังใจอยู่ดี

Q : “แพรว” ห่างหายจากการมีผลงานเพลงแบบนี้กี่ปีแล้ว และกลับมาครั้งนี้ได้ฟีดแบ็กยังไงบ้าง?

แพรว : ช่วงโควิด แพรวยังมีเพลงประกอบละคร ‘อกเกือบหัก แอบรักคุณสามี’ มันก็ยังมีเพลงมาอยู่ และได้ทำไปเรื่อย ๆ รวมถึงคอนเสิร์ตก็มีต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ ช่วงโควิดก็ยังมี แต่เป็นไพรเวทปาร์ตี้ ส่วนใหญ่จะเป็นประมาณนั้น แต่เราจะห่างหายจากซิงเกิ้ลเดี่ยวมากกว่า เลยทำเพลงนี้ขึ้นมาในรอบ 4 ปี และไม่ได้อยู่ค่ายเดิม เราอยู่จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่มา 25 ปี และด้วยความที่เราทำธุรกิจหลาย ๆ อย่างด้วย สัญญาเลยอาจไม่โอเค ไม่สะดวก เลยออกมาด้วยดี แพรวเป็นศิลปินอิสระ และค่าย ‘Seekr Music’ ก็ไม่ได้มัดว่าเราต้องอยู่แต่ที่นี่ ห้ามไปที่ไหน ไม่มีอะไรแบบนั้นเลย

Q : เลยทำให้ “แพรว” ตัดสินใจเป็นศิลปินเบอร์แรกของค่าย “Seekr Music” นี้ใช่มั้ย?

แพรว : แล้วก็เป็นพี่ ๆ น้อง ๆ กันด้วย เราเริ่มจากศูนย์เลย เพราะฉะนั้นแพรวเลยรู้สึกว่าค่ายนี้น่าไป จริง ๆ มีค่ายอื่น ๆ ที่เราเคยร่วมงานกัน ก็ชวนเราไป แต่เรารู้สึกว่าอันนี้มันมีอะไรที่โอเคอยู่ในนั้น ทั้งความตั้งใจ และเราก็อยากท้าทายเหมือนกัน ที่เราอยากช่วยเขา อยากให้โปรเจ็คต์นี้เป็นความจริง ที่มันจะสามารถส่งต่อไปถึงศิลปินคนอื่น ๆ ในค่ายได้ต่อ แม้ว่าตอนแรกมันอาจเริ่มจากศูนย์ แต่เราก็มีความเชื่อว่ามันจะไปได้ค่ะ

Q : อีกหนึ่งสิ่งที่น่าประทับใจ คือการได้ “หน่อง-ธนา ฉัตรบริรักษ์” และ “น้องวันใหม่” ร่วมเล่นเอ็มวี “ระบาย” อะไรที่ทำให้เราเลือกคู่นี้ และอยากถ่ายทอดความรักในรูปแบบของพี่น้องลงในเพลงของเรา?

แพรว : ต้องเกริ่นก่อนว่าแพรวทำเอ็มวีมาหลายแบบมาก ทั้งแนวมาก ไม่เกี่ยวกับเพลงเลย เป็นลูกบอลไปวิ่งอยู่กลางสวนลุมฯ อะไรก็แล้วแต่ ก็ทำมาหมดแล้ว จะแต่งตัวบ้าบอคอแตกก็ทำมาหมดแล้ว สุดท้ายแล้วอันนี้มันเป็นเพลงของความจริง ที่อยากให้คนสัมผัสได้จริง ๆ เราก็คิดตอนแรกกับผู้กำกับเอ็มวี เขาก็เสนอมาว่า ระบายสีมั้ย (ยิ้ม) แต่แพรวรู้สึกว่าไม่ได้ต้องการให้เห็นว่าระบายสีไง เข้าใจว่ามันอาร์ตได้ แต่ว่าเพลงนี้มันทัชชิ่ง มันก็น่าเป็นเพลงที่ให้เห็นความจริง เราก็คิดว่าใครดีที่จะมานำเสนอความจริงของเรา ก็ไปที่คู่รัก ก็ไถไอจีและฟังเพลงไปด้วย เพื่อเลือกคนมาเล่น เห็นคู่นี้เป็นแฟนกัน ก็ดีเหมือนกัน เขาน่ารัก แต่เขาเลิกกันจะทำยังไง เพลงเราจะเป็นหมามั้ย (ยิ้ม) ประสบการณ์มี เราก็ไม่เอา เป็นครอบครัวแล้วกัน มองไปที่พี่โอ๊ค (สมิทธิ์ อารยะสกุล) กับพี่โอปอล์ (ปาณิสรา) ดีมั้ย น่ารัก แต่ก็คิดว่ามันจะดูครอบครัวไปมั้ย และคนอื่นที่ไม่เป็นครอบครัว เขาจะเข้าใจมั้ย ก็ไถไปเรื่อย ๆ จนไปเจอวันใหม่กับหน่อง เป็นภาพที่วันใหม่กอดคอหน่องไว้ เป็นคนตัวใหญ่ แต่โดนคนตัวเล็กกอด เลยรู้สึกว่าน่าเอ็นดู น่ารักจังเลย ก็เลยไถไอจีพร้อมกับฟังเพลงไปเรื่อย ๆ มันก็จะมีตอนที่น้องกวนคลื่นทะเลและกอดพี่อยู่ เลยรู้สึกว่าน่ารัก และตรงจุด ซึ่งพอเราให้เขาฟังเพลงปุ๊บ เขาก็ตอบเลยว่าเล่นเอ็มวี และไปถามน้องวันใหม่ว่าเล่นมั้ย น้องก็คอนเฟิร์มว่าเล่น ทีนี้ก็ไปคุยกับคุณแม่ว่าอยากได้น้องวันใหม่มาเล่นเอ็มวีเพลงนี้นะ เอาผู้กำกับเอ็มวีไปนั่งคุยกันเลยว่า จริง ๆ แล้ววันใหม่และหน่องเป็นยังไง กวน ๆ กัน ไม่ค่อยจะหวานมาก หลาย ๆ เรื่องรู้ความรู้สึกแต่ไม่พูด เลยเอาตรงจุดนี้มาถ่ายทอดว่าบางทีคนเราไม่พูดหรอก และไม่ถามด้วย แต่เห็นอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็พยายามชวนเล่น แต่ทุกอย่างก็อยู่ในเอ็มวีเลย แต่บางอย่างเขาก็แสดงนะคะ (ยิ้ม) อย่างการร้องไห้ พี่ผู้กำกับเขาอยากให้รู้สึกว่ามันคนเราเจอเรื่องหนัก บางทีก็อยากระบายในหลายทาง ซึ่งในเอ็มวีเราอยากให้อิงกับเขาด้วย เพราะว่ามันดูธรรมชาติดี ไม่ได้ใส่ชุดปรุงแต่งอะไร มันเพียวค่ะ

Q : ได้อ่านฟีดแบ็กคอมเมนต์แฟน ๆ ในยูทูบ หลังจากที่ดู เอ็มวีเพลง “ระบาย” นี้บ้างมั้ย รู้สึกยังไง?

แพรว : ชอบ (ยิ้ม) คือพอหลังจากที่เราทำไป ยอดซับสไครป์ช่องยูทูบของค่ายจากศูนย์ก็ขึ้นมาแล้ว และยอดวิวจากเดิมถ้าเราอยู่ค่ายใหญ่มันก็จะง่าย เพราะว่าตัวค่ายมีซับสไครป์เยอะอยู่แล้ว ปล่อยออกมาปุ๊บก็มีแสงนึงดูเราอยู่แล้ว แต่ทีนี้มาจากศูนย์มันก็จะลุ้นมาก วันนี้ยอดวิวขึ้นมาหมื่นนึง จนสิบวันก็เป็นแสนกว่า ๆ วิว ก็ดีใจที่เวลาแป๊บเดียว คนเข้ามาดูเยอะขนาดนี้ จากพื้นฐานเราคือศูนย์ มันเลยยิ่งมีความหมาย ยิ่งคอมเมนต์ด้านล่างเอ็มวี อ่านแล้วเราก็ชื่นใจ เพราะมีหลายอัน คือมีทั้งคอมเมนต์ใต้ยูทูบ และคอมเมนต์จากเพื่อน ๆ  ส่วนตัว อย่างคอมเมนต์ในยูทูบ เรารู้สึกชอบอันนึงที่พี่แทนส่งมาให้ดูและบอกว่าคุ้มแล้วที่ทำเพลงนี้ เหตุผลที่เราทำเพลงนี้เพราะอะไร เขาแคปคอมเมนต์นั้นส่งมาให้ ที่บอกว่าดีใจมาก ๆ ที่มีเพลงนี้ เพราะเขามีภาวะซึมเศร้าอยู่และเขาไม่รู้ว่าจะได้ระบายที่ไหน หรือใครจะเข้าใจ และเขาก็ร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้ตัว เราก็รู้สึกว่าอย่างน้อย ๆ นี่แหละมันมีจุดที่เขาไม่ได้เป็นคนเดียว บางคนพอเราอยู่คนเดียว เรามีปัญหาแบบนี้คนเดียว ทำไมคนอื่นไม่เป็น มันก็ไม่รู้จะคุยกับใคร นึกเราเป็นคนเดียว แต่พอเราออกมา ว่ามันมีเพลงนี้ขึ้นมา คนที่มีปัญหาไม่ใช่คุณคนเดียวนะ ยังมีเต็มเลยที่ต้องการการเยียวยา พอคนนึงมาคอมเมนต์ มันจะรู้ว่าแล้วว่าไม่ใช่คนเดียว มีเยอะมากค่ะ

Q : กลายเป็นว่าใต้เอ็มวีเพลง “ระบาย” เป็นพื้นที่ปลอดภัยของหลายคน ได้มาเล่าและระบายเรื่องส่วนตัว?

แพรว : ใช่ค่ะ ซึ่งเราก็งงมากว่าที่ทุกคนจะมาแบความรู้สึกส่วนตัวมันไม่ง่าย หรือเราเองที่เป็นเพื่อนกัน แพรวรู้สึกว่าคนเดี๋ยวนี้มันยากนิดนึง บางทีเราไม่รู้ว่าเราพูดอะไรแล้วจะถูกใจเขามั้ย มันจะช่วยหรือเปล่า อย่างแพรวจะมีปัญหา ที่เขาบอกว่าคนเป็นซึมเศร้า ห้ามใช้คำว่า ‘สู้ ๆ’ ห้ามใช้คำว่าโน่นนี่นั่น พอรู้แล้วว่าเพื่อนเราเป็นซึมเศร้า เราก็จะคิดว่าห้ามพูดคำว่าอะไรบ้าง คิดไม่ทัน คิดไม่ออก ก็อยู่เป็นเพื่อนเฉย ๆ แล้วกัน (หัวเราะ) ยังไม่พูด เพราฉะนั้นเรารู้สึกว่าอันนี้เป็นเพลงที่ ถ้าเราทำมาตอนที่ไปอัดเสียงร้อง ยังรู้สึกว่ามันช่วยเหลือเราได้เลย คือเราไปบรีฟกับพี่เหวิน (เรืองกิจ ยงปิยะกุล โปรดิวเซอร์) ว่าอยากได้เพลงประมาณนี้นะ เพราะมีบางช่วงที่แพรวเขียนเนื้อเพลงเอง ถ้าไม่เขียนเองก็ต้องมีคนที่เข้าใจเรา ว่าเราเป็นคนยังไงในการสื่อสาร พี่ป้อม (ปัญญา ปคูณปัญญา เขียนเนื้อร้อง) เป็นคนที่เข้าใจเราอยู่แล้ว เราชอบมาปรึกษาเขาในหลายเรื่อง เขาก็จะเข้าใจในความเป็นเรา ซึ่งแพรวก็จะบอกว่าเราเป็นผู้หญิงที่อาจไม่ได้ช่วยคิดหาทางออกหรือแก้ไขได้ แต่เราก็อยากเป็นที่ให้เขามาบ่นให้ฟัง เขาก็เขียนในเป็นแบบนี้ และพอเราไปร้องก็รู้สึกว่าเราฟังแล้วจะร้องออกมา แล้วก็รู้สึกว่ามันช่วยเรา นี่เขียนมาแพรวระบายหรือเปล่า (ยิ้ม) เหมือนพี่ป้อมรู้ใจเรา เหมือนเราได้ปลดปล่อยบางอย่างเหมือนกัน ก็รู้สึกว่าถ้าสมมุติว่าเป็นเพื่อนกัน เราก็จะเริ่มสังเกตเห็นแล้วว่าเพื่อน เขาเริ่มปัญหา แต่เราก็ไม่กล้าถาม ก็คงส่งเพลงนี้ไปเป็นหัวเปิดว่าปัญหาคงเยอะนะ ไม่เป็นไร ตรงนี้เป็นพื้นที่ปลอดภัยนะมาคุยได้ แค่ส่งไป แพรวรู้สึกว่าเขาอาจไม่ต้องอธิบายข้างใน แต่เขาแค่รู้ว่ามีคนเป็นห่วง หรือให้ความสำคัญ สังเกตว่าเขาเป็นอะไร แค่นี้แพรวว่าโอเค เพราะคำพูดบางอัน เราอาจช่วยเขาไม่ได้ ไม่รู้ว่าหลายคนเป็นเหมือนกันหรือเปล่า แต่แพรวเป็นแบบนี้

Q : แล้วตัวเราล่ะ หลังจากที่ “แพรว” ได้ร้องเพลงนี้ออกไป สิ่งที่ได้กลับมามากที่สุด คืออะไร?

แพรว : เรารู้สึกมั่นในในโปรเจคท์นี้ตั้งแต่ต้น พอเราฟังฟีดแบ็กกลับมา ทั้งของเพื่อนเราเองด้วย ก็รู้สึกว่าเราดีใจมากที่ทำ นอกจากคอมเมนต์นั้นที่พี่แทนส่งมา วันนึงเพื่อนเราบอกว่า เพลงที่แพรวส่งให้เพื่อนช่วยโปรโมตให้ เขาก็ส่งไปให้เพื่อนของเขา เพราะสามีเพื่อนของเขาเพิ่งเสียไป เลยส่งไปและรู้สึกว่าจะส่งเพลงไปให้โดยที่ไม่ไปปลอบก็ไม่ได้ เลยขับรถไปบ้านเขา และนั่งอยู่เป็นเพื่อน สรุปคือร้องไห้ไปด้วยกัน และเขาก็บอกว่า ‘มันคือตอนจบของเพลงแกเลยเว้ย’ (ยิ้ม) เราก็บอกว่า ‘ฉันไม่ได้ทำมาเพื่อให้แกร้องไห้ แต่ฉันก็ดีใจที่เพลงของฉันน่าจะเป็นสื่อให้ได้ และที่แกไปร้องไห้กับเขาก็ดีมาก’ ก็มีโอกาสได้เห็นว่าเพื่อนเราหลาย ๆ คนก็เป็นคนน่ารักมาก เราเองก็ได้เห็นความน่ารักของแต่ละคนที่พยายามใช้เพลงนี้เป็นสื่อต่าง ๆ ในวิธีการของเขา คือตอนนี้แพรวทำหมู่บ้านอยู่ แม้กระทั่งลูกบ้านที่มาซื้อบ้านก็บอกว่า ‘คุณแพรว ขอบคุณมาก เพลงนี้ช่วยได้’ เพราะว่าก่อนหน้ามาซื้อบ้านกับแพรว คุณพ่อของเขาเสีย และทุกอย่างก็วุ่นวาย เพลงนี้ก็ช่วยเขาได้รู้สึกสบายใจ ก็คุ้มค่ามาก และรู้สึกว่ามันแปลกดีเนอะ มันต่างไปจากคอมเมนต์เพลงอื่น ๆ ไม่ใช่เพลงอื่น ๆ ไม่ดีนะคะ ทุกคอมเมนต์ก็เป็นกำลังใจมาตลอด แต่อันนี้ค่อนข้างแปลกที่ทุกคนมาแชร์และมันก็ทำให้เราไม่ได้เห็นด้านรับด้านเดียว จากเมื่อก่อนที่คอมเมนต์จะชมเราอย่างเดียว ต่อว่าน้อยมาก เราก็รับ ๆ แต่คนที่เขาเคยชมเรา มันก็ถึงเวลาที่เขาได้มาคอมเมนต์ถึงความรู้สึกเขาบ้าง และปติแพรวก็ไม่เคยตอบนะ แต่ตอนนี้แพรวก็เข้าไปดูและไปตอบเขาบ้าง ตอบรวม ๆ บ้าง แต่ก็คิดในใจว่าเดี๋ยวน่าจะต้องมีคนที่เขาโอเคเกี่ยวกับเรื่องไปนั่งตอบ

Q : คิดว่าความท้าทายในการทำเพลง ณ วันนี้ สำหรับ “แพรว” คืออะไร?

แพรว : ตั้งแต่เด็กมา สำหรับแพรวอาจจะไม่ง่ายและไม่ได้ยาก อาจเป็นเพราะเรามีทีมที่ดี เราต้องขอบคุณจีเอ็มเอ็มฯ ที่เขาให้เราอยู่มาตั้งแต่เด็ก ซึมซับให้เราว่าจะต้องเจอกับอะไร เราต้องมีอะไรบ้างที่เป็นหลังบ้าน จนตอนนี้เราต้องมาช่วยค่ายอื่น ๆ ที่เป็นค่ายที่มีเจตนาที่ดี เราก็ขอบคุณเขา คือจีเอ็มเอ็มฯ จะสอนว่าต้องมีอันนี้และอันนี้ แต่พอมาถึงตรงนี้ มันแล้วแต่ความคาดหวังของแต่ละคนในเรื่องของความสำเร็จ เพราะฉะนั้นถามว่ามันยากแค่ไหนที่จะดังขึ้นมา แน่นอนว่าคนทำเพลงเยอะขึ้น แต่เรากลับรู้สึกว่ามันสนุกดี ด้วยความที่เราอยู่มานาน ก็จะรู้ว่าน้องคนนี้เข้ามาแล้ว แต่ทำไมไม่มาสักที เพราะว่ามันยังไม่ถึงเวลา แต่พอมันถึงเวลาของเขา ทุกย่างมันก็จะง่าย มันต้องมีจุดที่ยากของแต่ละคนอยู่แล้ว ของแพรวก็จะมีช่วงที่ยาก ที่ง่ายสลับ แต่ความคาดหวังของเราต้องคาดหวังเองว่าเราต้องการ ณ ส่วนไหน เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่คาดหวังอะไรเลย แต่คาดหวังตามเป้าของเราพอ อย่าอิงกับรอบ ๆ ที่สำคัญค่ายก็ต้องไม่กดดันเราด้วยนะ (ยิ้ม) ซึ่งถ้ามันไปในเจตนาเดียวกัน เราเลือกค่ายถูก มันก็จะไปด้วยกันได้ ที่จะบอกคืออย่างที่ผ่านมา จีเอ็มเอ็มฯ ก็เคยให้โอกาสแต่งเพลงครึ่งอัลบั้ม ทำทุกอย่างเอง ขายเอง ทำทุกอย่างเลย อันนั้นก็คือเราใช้คำว่า ‘Kennet แป๋ว’ ไม่ใช่แพรว คณิตกุล เพื่อที่จาก ‘คูณสามซูเปอร์แก๊ง’ ก็จะมีความเดี่ยวของตัวเองออกมา มันอยากลบบางอย่างออกไป ไม่บอกว่าเป็นใคร ซึ่งมันก็ท้าทายเหมือนกัน และเราก็รู้สึกว่าเราหายจากการร้องเพลงในฐานะ ‘คูณ 3 ซูเปอร์แก๊งค์’ ไปประมาณ 4-5 ปี และเข้ามหาวิทยาลัย และเป็นช่วงที่เราเริ่มทำเป็นแพรว คณิตกุล โดยทำเป็น Kennet แป๋ว ขึ้นมาก่อน เราเขียนเนื้อเอง อันนี้ก็น่ากลัวเหมือนกัน เพราะเราหาสปอนเซอร์มา ถ้าเราทำให้เขาไม่ได้ ก็จ๋อยเหมือนกัน แต่ทีนี้เราก็ได้รางวัลจากการเขียนเพลง เราพอใจและเราก็หาเงินให้ค่ายได้ เป็นที่พอใจ ก็รู้สึกโอเค จบ (ยิ้ม) แต่มาตอนนี้ เพลงนี้ประเด็นของมันคือเอาไว้ฮีลใจทุกคน มันเลยกลายเป็นว่าต้นทุนการทำเพลงนี้ไม่ได้เยอะมาก เราไม่ได้ยิงแอดตูมตาม เราให้เพลงมันทำงานของมัน ซึ่งขนาดเพลงไม่ได้ยิงแอดเลย แต่สิบวันเพลงก็ขึ้นยอดวิวเป็นแสนกว่าแล้ว วันนี้แพรวได้มาคุยกับทุกคน เพื่อมาบอกต่อว่ามันมีเพลงนี้นะ ที่สามารถช่วยเหลือต่อ ๆ ได้ค่ะ

Q : เพลง “ระบาย” เป็นเพลงฟีลกู๊ด เชิงให้กำลังใจ อยากรู้ว่าดนตรีสามารถเยียวยาหรือขับเคลื่อนโลกใบนี้ได้ยังไงบ้าง?

แพรว : เอาแบบง่าย ๆ ที่จับต้องได้ อย่างบางคนอกหักจะเข้าโบสถ์หรือเข้าวัด บางทีเปิดเพลงก่อนอย่างแรก (ยิ้ม) ขับรถไป กว่าฉันก็จะไปถึงที่ ก็เปิดเพลงแล้ว และฮีลตัวเองไป ๆ บางคนฮีลด้วยการฟังเพลงอกหักจนหาย จนมันด้าน หรืออย่างถ้าเป็นคริสเตียนก็ฟังเพลงเกี่ยวกับพระเจ้า จนมันฮีลไปแล้วก่อนจะถึง ณ ที่หมาย หรือบางคนอยู่ในบ้าน จมไม่อยากไปไหน เพราะร้องไห้ ก็เปิดเพลงไปฮีลใจไปก่อน ปลอบใจ ให้รักตัวเอง มันเลยรู้สึกว่าเพลงคือสิ่งนึงที่เป็นจุดที่เยียวยาจิตใจคนได้ค่ะ มันสามารถเข้าไปข้างในได้

Q : อย่างเพลง “ระบาย” เป็นการพูดถึงพื้นที่ปลอดภัยและคนที่เราสามารถระบายความทุกข์ได้ และสำหรับ “แพรว” ล่ะ อะไรคือเซฟโซนให้ “แพรว” ได้ระบายทุกอย่างได้?

แพรว : หลายที่ค่ะ ทั้งเพื่อน แล้วแต่เรื่อง อย่างบางเรื่องก็ไม่เล่าให้แม่ฟัง เพราะอยากเล่าให้เพื่อฟัง วัยเดียวกัน อย่างเราเป็นคริสเตียนก็จะคุยกับพระเจ้าก่อน คนก็จะงงว่าอะไร ก็จะมีอธิษฐานก่อนนอน มีอะไรก็จะไปคุยตรงนั้น ก็จะโดนซับไปแล้วหนึ่งที พอไปถึงเพื่อน แม่ มันก็เบาแล้ว หรือเราไปโมโหใครมา เราคุยกับเพื่อนเรา มันก็หายแล้ว แป๊บเดียวมันก็คุยไปเรื่องอื่นแล้ว ไม่มีมาโกรธแล้ว แต่เราต้องเลือกเพื่อนด้วยนะ ไม่ใช่เพื่อนที่ทำให้เราหนักกว่าเดิม บางทีเพื่อนมันโกรธหนักกว่าเราอีกนะ จนเราต้องบอกว่า ‘แก ไม่เป็นไร ฉันโอเค โกรธแซงฉันแล้ว’ มันก็แล้วแต่เรื่องมากกว่า แต่เรามีคนรอบข้างที่ไมได้อายที่จะเราอยากระบาย เป็นคนที่เปิดเผยกับเพื่อน กับครอบครัวอยู่แล้วค่ะ

Q : เนื่องในวันคริสต์มาสนี้ ในฐานะคริสเตียน อยากให้ “แพรว” พูดถึงความสำคัญของวันนี้หน่อย?

แพรว : เรื่องที่เราจะเห็นกันบ่อยคือซิมโบลิคของวันคริสต์มาสนั้นเป็นซานตาคลอส หรือเจ้ากวางเรนเดียร์ สโนว์แมน หรือต้นคริสต์มาส แต่เราลืมไปว่าจุดที่สำคัญที่สุด ก็คือเป็นวันที่พระเยซูมาเกิด ซึ่งมันเป็นวันที่สำคัญมาก ๆ ค่ะ เพราะพระเยซู พระบุตรของพระเจ้ามาเกิด และทุกอย่างที่เราทำผิดบาปทั้งหลาย มันก็ได้เป็นศูนย์เลย มีแต่เรื่องเบิกบานและยินดี และมีความสุข ซึ่งจริง ๆ ควรเป็นพระเยซูที่เป็นซิมโบลิคของวันนี้เนอะ (ยิ้ม) แต่เป็นซานตาคลอสก็โอเค น่ารัก ซึ่งอะไรก็ได้ สำหรับแพรวไม่ว่าทุกคนจะเข้าใจว่ายังไง แต่ทุกคนก็ยังสัมผัสได้ถึงความสุข คามสดชื่นในวันคริสต์มาส โดยที่เราไม่ได้บอกว่ามันคือวันอะไร แต่สังเกตสิ ทุกคนหรืออย่างแฟนของแพรวเอง ที่แรก ๆ ก็ไม่เข้าใจความเป็นคริสเตียน แต่ร้องเพลงคริสต์มาสได้หมดเลยนะ ได้เยอะกว่า แถมยังเป็นคนที่ซื้อต้นคริสต์มาสมาให้ รู้สึกดีมันเป็นช่วงเวลาที่เราจะส่งต่อความรักจริง ๆ ทุกคนสัมผัสได้เอง แม้กระทั่งหนัง หรือเพลงที่ออกในช่วงนั้น เห็นคนไทยจัดยิ่งใหญ่กว่าที่เมืองนอกเยอะเลย ที่เมืองนอกจะอยู่ที่บ้านแล้วก็ซื้อไก่ ซื้อข้าวมากินกันในบ้าน แต่ถ้าเป็นที่นี่ก็จะออกไปเฉลิมฉลอง ไปเที่ยว ไปใส่ชุดสีแดง ถึงเขาจะไม่เข้าใจความหมายเป๊ะ ๆ แต่เขาสัมผัสได้และมีความสุข อันนั้นก็โอเค นี่คือเป้าค่ะ แต่ถ้าจะให้อธิบายก็คือวันที่เราชื่นชมยินดีที่ได้รับความรอดจากหลายอย่างที่เราผิดบาปไป เพราะพระเยซูได้ทรงมาเกิดแล้ว

Q : อยากให้ย้อนวันแรกที่ได้มาเป็นคริสเตียน ให้ฟังหน่อย และชีวิตเปลี่ยนไปยังไงบ้าง หลังจากที่ “พระเยซู” ได้เข้ามาในชีวิต?

แพรว : วันแรก ๆ แพรวเป็นคนที่ค่อนข้างตัดสินคนเหมือนกัน อย่างเวลาเจอคนมาขอทาน เราก็คิดในใจว่า สมมุติเราให้เงินเขาไป เขาจะเอาไปจริง ๆ รึเปล่า จะเอาไปทำอะไร ก็จะเป็นห่วงเยอะ แม้กระทั่งในโบสถ์ที่มีคนมาร้องไห้ ตอนที่นมัสการ เราก็จะคิดว่าเขาบ้ารึเปล่า เพี้ยนแน่เลย ทำไมต้องมาร้องไห้ ปกติเราไปที่อื่นก็ไม่ได้เจอคนร้องไห้เยอะขนาดนั้น เราก็งง ๆ ทำให้ร้องเพลงนมัสการแล้วต้องร้องไห้ด้วย แต่พอหลังจากนั้น พอเราได้มาอยู่ที่โบสถ์ ก็จะมีหัวข้อให้เราอธิษฐานเผื่อสมาชิกในโบสถ์ เหมือน 3-4 ปีต่อมา เราได้มารับรู้เรื่องของน้องคนที่ร้องไห้ในโบสถ์วันนั้น ซึ่งเป็นวันแรกที่เราเขามาแล้วเรางงว่าทำไมเขาฟูมฟายจัง สุดท้ายแล้วชีวิตของเขาสมควรที่จะร้องไห้และมีน้ำตามาก ๆ อาจเป็นเพราะตอนแรก เราไม่เข้าใจถึงความอ่อนแอ เพราะอาจโดนสอนมาว่าให้เราเข้มแข็ง จะร้องไห้ให้เข้าไปในห้องน้ำ อย่าให้ใครเห็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่พอมาอันนี้เราเข้าใจว่าคนเรามันอ่อนแอได้ มีวันที่ไม่โอเคได้ และเรารู้เรื่องของเขา ซึ่งมันคือน้ำตาที่ไม่ใช่น้ำตาแห่งความเสียใจ แต่มันเป็นน้ำตาของความรอด ของความสุข ของโอกาส ของหลายอย่างที่เขาได้มีชีวิต เพราะน้องคนนั้นเขาก็ได้มาพูดประกาศว่าเรื่องราวของเขากับพระเจ้าว่ามีอะไรบ้าง น้องคนนี้เคยป่วยเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง และเขาต้องเป็นผัก นอนนิ่ง ๆ ได้อย่างเดียว รับรู้ทุกอย่าง แต่ทำอะไรไม่ได้ ภาพที่เห็นคือเขาได้แต่นอนและพ่อแม่ดูแลเขา บางวันคุณแม่ก็ร้องไห้ บางวันคุณพ่อก็ร้องไห้ แต่เขาไม่สามารถไปปลอบได้ด้วยซ้ำ ไม่สามารถบอกได้ด้วยซ้ำว่าเขารู้สึก สิ่งที่เขาทำได้อย่างเดียวคือการอธิษฐานกับพระเจ้าให้เขาได้มีโอกาส พอเขาได้มีโอกาส มันจึงกลายเป็นน้ำตาแห่งการได้ชีวิตใหม่ มันเป็นน้ำตาแห่งความสุข เลยเข้าใจว่าคนเรามันมีน้ำตาได้หลายรูปแบบมาก และอ่อนไหวได้กับหลายรูปแบบมาก และหลายครั้งคนที่ร้องไห้ ก็เป็นคนที่แข็งแรงกว่าที่เราคิดด้วยซ้ำ อันนี้เลยทำให้เราเปลี่ยนความคิดเลยว่า จริง ๆ แล้วแบล็กกราวด์แต่ละคนไม่เหมือนกัน และเข้าใจมากขึ้นถึงความซาบซึ้งของน้ำตาในหลายรูปแบบ เลยเป็นคนที่อ่อนไหวและเข้าใจคนอื่นได้มากขึ้น ไม่ได้แข็งกร้าวเหมือนเดิมค่ะ

Q : ในฐานะศิลปิน “แพรว” ได้นำความรักของพระเจ้ามาถ่ายทอดผ่านเสียงเพลง ไปสู่ผู้คนยังไงบ้าง?

แพรว : สำหรับของแพรวจะมีเป็นเพลงนมัสการของ ค่ายเพลง ‘W501’ ซึ่งเป็นค่ายเพลงของกลุ่มคริสเตียน ทางยูทูบช่อง Crossover ซึ่งค่อนข้างมีหลายเพลง นับไปนับมาก็น่าจะเกิน 5 เพลง ตอนนี้อาจถึง 10 เพลงแล้วด้วยซ้ำ และพอพระเจ้าเข้ามาในชีวิตเรา ก็ไม่ใช่แค่เรื่องการใช้ชีวิตแล้ว แต่มันคือทุกอย่างในชีวิตเรา มันเป็นอัตโนมัติ เหมือนเราอยู่กับใคร ใกล้ชิดกับใคร เราก็จะเป็นเหมือนคนนั้น  ใครใกล้ชิดกับคนแบบไหน ก็จะเป็นคนแบบนั้น แพรวใกล้ชิดกับพระเจ้า ก็จะมีคำสอนเข้ามาเองที่หล่อหลอม จนเป็นคน ณ ปัจจุบัน แพรวเชื่อว่าทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ จากเมื่อก่อนที่เคยเชื่อว่าคนเราเปลี่ยนแปลงไม่ได้ คนไม่ดียังไงก็ไม่ดี แต่มันไม่จริง เพราะเราเองก็เคยเป็นคนที่รู้สึกว่าเราเองยังดีไม่พอ ทุกวันนี้เราก็ยังรู้สึกเราไม่ได้เพอร์เฟกต์ เพราะเราไม่ใช่พระเจ้า แต่ว่าเรามีพระเจ้าเป็นเหมือนต้นฉบับของความรักที่สมบูรณ์แบบ และความสัมพันธ์ที่สมบูรณ์แบบ เราเป็นได้สักครึ่งนึงของพระเจ้ามันก็จะดี เลยกลายเป็นว่ามันหล่อหลอมเราไปในหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นมุมมองความคิด ทั้งกับที่บ้านและเพื่อน หรือแม้เราคิดกลับไปว่าเราเคยทำอะไรไว้ อันนั้นน่าอาย เราอยากเปลี่ยนแปลง หรือบางอันเราทำดีที่สุดแล้ว แต่มีคนที่ไม่เข้าใจเรา หรือเขาเองอาจอะไรก็ตาม มันกลายเป็นว่า ‘ช่างมัน ไม่เป็นไร’ เพราะเรามีจุดศูนย์กลางคือพระเจ้า และเราก็พร้อมเดินไปในทางนี้ และเราก็เข้าใจคำว่าเราไม่สมบูรณ์แบบด้วย เราถึงรู้สึกว่าเราอยากเป็นคนที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่ามันจะไม่เพอร์เฟกต์ แต่เราก็ขอให้เป็นเราในแบบที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ คำว่าดีก็ไม่ใช่ว่าตามมาตรฐานอะไรก็แล้วแต่ แต่มันอยู่ในความคิดของเรา ว่าเราอยากเป็นคนที่ดีขึ้นนะ และแพรวก็เชื่อว่าธรรมชาติของทุกคนในโลก ไม่มีใครอยากเป็นคนไม่ดี ทุกคนก็อยากเป็นคนดีในแบบฉบับของเรา เข้าใจว่าบางคนก็ชอบพูดติดตลก ว่าเป็นคนไม่ดี บางทีแพรวก็ยังเป็นเลย อย่างที่ว่าขึ้นสวรรค์เพื่อนเราไม่เยอะ แต่ไปนรกเพื่อนเยอะกว่า อันนั้นเป็นการพูดติดตลก แต่แพรวรู้สึกว่าจริง ๆ แล้วทุกคน ถ้ามีโอกาสที่จะปรับปรุง หรือเปลี่ยนแปลง ก็อยากได้รับการให้อภัย อยากได้รับความรอด ความรัก ได้รับการยอมรับ และที่สำคัญคือขอให้เราเป็นคนที่ดีมากขึ้นในแบบของเราเอง ไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร พระเจ้าเป็นเหมือนคุณพ่อคุณแม่ เป็นเหมือนไอดอลที่แพรวรู้สึกว่าสมบูรณ์ที่สุด ที่เราจะพัฒนาความสัมพันธ์ในหลาย ๆ รูปแบบ หรือการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างดี และเราเองก็จะพบความสงบสุข ซึ่งแพรวก็เชื่อจริง ๆ เพราะมันก็เกิดขึ้นกับเรา และแพรวก็นำสิ่งเหล่านี้ถ่ายทอดผ่านเสียงเพลงค่ะ

Q : วันคริสต์มาสแต่ละปี “แพรว” ได้ทำกิจกรรมประกาศอะไรบ้าง?

แพรว : เคยทำมาหลายแบบ ที่โบสถ์จะมีงานอยู่แล้ว แต่ไม่ได้ตรงกับคริสต์มาส เพราะเขาก็จะให้ไปอยู่กับครอบครัว ที่เราทำก็จะมีแบบที่นั่นจัดงาน ที่นี่จัดงาน ก็จะขอเราไปช่วยร้องเพลง เคยไปร้องแครอลตามหน้าบ้าน ชอบมากเลย (ยิ้ม) แล้วเขาจะเตรียมอาหารมาให้เรา และอิ่มมาก เพราะทุกบ้านเตรียมอาหารมาให้อย่างดีมาก และเราไปร้องเพลง เขาก็เชิญเข้าบ้านมากินข้าว กินอีกแล้ว กินเป็นสิบบ้านเลย พุงจะแตก (ยิ้ม)

Q : มีงานประกาศ หรือร้องเพลงแครอลครั้งไหน ที่รู้สึกประทับใจที่สุดบ้างมั้ย?

แพรว : จริง ๆ ที่ไม่นานมานี้ เป็นงานคริสต์มาสในช่วงโควิด แล้วจัดกันผ่านซูม เราได้ร้องเพลง ‘Christmas Is A Time To Love’ และหลาย ๆ อันที่เรารู้สึกว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่อบอุ่นจริง ๆ ในช่วงนั้นแพรวว่ามันน่าจะหนุนใจหลาย ๆ คนที่บ้านได้ ตลอดทั้งปีที่เราต้องเจออะไรมา และเป็นช่วงเวลาเฉลิมฉลอง ก็ยังต้องอยู่บ้านกัน แต่ว่าเพลงก็ฮีลใจคนที่อยู่บ้านได้ และอธิษฐานร่วมกัน มีปัญหาอะไรมั้ย มันก็เป็นช่องทางที่เราสามารถคุยกับเขาได้ค่ะ

Q : อย่างที่รู้จักว่าคริสต์มาส เป็นช่วงเทศกาลแห่ง “ความรักและการให้” อยากให้นิยาม “ความรัก” ให้ฟังหน่อย?

แพรว : สำหรับความรักเมื่อก่อนเราไม่เข้าใจและจะคิดว่ามันยาก และจะคิดว่าไกลตัวมาก ๆ ความรักมันดูยิ่งใหญ่ ถามว่ารักแปลว่าอะไร ทุกคนก็จะแบบหามาสุด แต่พอเรามาเป็นคริสเตียน มันจะมีอยู่ในไบเบิลชัดเจนว่าความรักแบบเราคืออะไร เราก็อิงอันนั้นเลย และเราก็รู้สึกว่ามันก็ใช่ และไม่ใช่แค่เรื่องเดียว ความรักเป็นความรู้สึกที่กลมกล่อม ลงตัว บางคนบอกว่าถึงแม้ว่าเราจะเลิกกันไปกับใครสักคน หรือทะเลาะกับใครสักคน เรายังจะรักเขาได้มั้ย มันก็ได้ แค่เราให้อภัย แต่ถามว่าถ้าเขาทำเราเจ็บมาก ก็ไม่ต้องกลับไปคบกับเขาก็ได้ แต่เรารักเขาด้วยการปราณีเขา ด้วยการไม่ต้องไปว่ากันต่อ อันนี้ก็ถือว่าเป็นความรักแล้ว อย่างคนทำงานให้เรา มาหักหลังเรา ทำไม่ดีกับเรา เขาขอโทษเราแล้ว แต่เรารู้สึกว่าว่ายังรับเขาเข้ามาทำงานไม่ได้ ก็ไม่ต้อง ถ้าเรากลัวก็ไม่ต้อง แต่ความรักที่มีให้กัน คือเราไม่ต้องเอาเขาไปพูดต่อ ไปประจานเขาในเฟสบุ๊ค หรือทำให้เขาไปต่อไม่ได้เลย เราอาจปราณีเขาด้วยการที่เราก็รับคำขอโทษเขา แต่เราคงไปต่อไม่ได้ หรืออาจต้องใช้เวลา ก็แล้วแต่ นี่แพรวก็รู้สึกว่ามันคือความรักแล้ว ไม่จำเป็นต้องฉันรักเธอ นั่นคือคำว่าความรัก เช่น คนนี้มาบีบแตรใส่เรา ก็ช่างเถอะ ปล่อยไป เขาคงรีบมั้ง หรือนิ้วลั่น อะไรก็ไม่รู้ มันเป็นได้หมด ที่บีบก็ต้องมีเหตุผล เพราะฉะนั้นก็ปล่อยไป ความรักเลยเป็นการให้อภัย การอดทนนาน แต่อดทนก็อย่าลืม มันก็มีสโคปของมันอยู่ คือรักตัวเองด้วยให้เท่ากับรักคนนั้น ๆ ค่ะ อย่างพระเยซู พระเจ้าเจอเรื่องร้าย ๆ มาเยอะ เจอคนเป็นศิษย์หักหลังก็มี เราไม่ใช่พระเจ้าก็มีสิทธิ์จะโดน เป็นเรื่องปกติมาก แต่ทั้งปวงเราก็สามารถโกรธได้แต่ก็หายได้ โกรธไม่ผิดแต่ถ้าเราโหด อันนี้แพรวรู้สึกว่าเราเองจะรู้สึกร้อน ทำไปแล้วผลลัพธ์เป็นเราเองที่จะพัง เลยพอมีเรื่องอดทนนาน ให้อภัย ใจปรานี และมีอีกหลายเรื่องที่แพรวว่าใช้ได้ใน 13 ข้อที่ว่ารักคืออะไร (1 โครินธ์ 13:4-7) ใครอยากรู้ก็ลองไปเปิดพระคัมภีร์ดูก็ได้ค่ะ จะบอกเลย อย่างครั้งนี้เราทะเลาะกับเพื่อนคนนี้ ทะเลาะกับแม่ ทะเลาะกับแฟน ดูใน 13 ข้อนั้นเราต้องพลาดอะไรสักข้อนึง ไม่เขาก็เรา ถ้าเราทำตามข้อนั้น ไม่มีทางที่เราจะทะเลาะกัน ถ้าเขาผิด ไม่ใช่ว่าเราอ่านแล้วบอกว่าเขาผิด มันก็ไม่ใช่นะ (ยิ้ม) มันก็พัง เราก็รู้ว่าประมาณนี้ แล้วก็อย่าไปทำ ก็จบ

Q : วันคริสมาสต์ปีนี้ อยากขอพระพรหรือมอบของขวัญอะไร ให้ตัวเองและแฟน ๆ บ้าง?

แพรว : ส่วนตัวมันต้องมีความเข้าใจผิดในช่วงชีวิตเรา เกิดมาตั้งหลายปี บางทีเรายังไม่รู้ตัวว่าเราทำจุดไหนรึเปล่า ก็อยากบอกว่า ถ้าเราเคยไปทำอะไรไม่ดี ก็ขอโทษด้วยนะคะ ยกโทษให้ด้วยแล้วกัน อันนี้พูดโดยที่ยังไม่รู้ด้วยนะ ว่ามีใครติดใจอะไรเรารึเปล่า  ถ้าเป็นไปได้ ช่วงเวลานี้เราก็อยากจะพูดผ่านเลยว่าเราอาจมีโมเม้นต์ผิดพลาด ที่เราไม่รู้ตัว ทำแล้วไม่โอเค ก็ขอโทษผ่านช่วงเวลานี้ไปเลยค่ะ ไม่รู้ไปทำอะไรใครรึเปล่านะ แต่ขอโทษไว้ก่อนและคิดว่าทุกคนจะให้กลับค่ะ

Q : ท้ายสุดอยากให้ “แพรว” อวยพรวันคริสต์มาสและวันปีใหม่ถึงคนที่กำลังดูหรืออ่านบทสัมภาษณ์หน่อย?

แพรว : อยากอวยพรให้มีความสุขและเจอกับสันติสุข มีเงินโน่นนี่นั่น ทุกอย่างก็รวมเป็นความสุข บางคนรวยแล้วขาดความสุขก็ไม่เวิร์ค ก็ขออธิษฐานเผื่อให้กับทุกคนนั้นได้เจอแต่ความสุข ไม่ว่าจะไปทางไหนก็ตามและมีแต่รอยิ้มตลอดทั้งปีค่ะ ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุดแล้ว เราจะได้ปิดปีนี้เริ่มปีใหม่  อะไรที่ตั้งใจไว้ บางคนจะลดความอ้วน วันนี้ก็เป็นเวลาที่เหมาะ และช่วงเวลาของคริสต์มาส แพรวก็ดีใจที่เห็นทุกคนออกมาซื้อของ ใช้ชีวิต ยิ้มให้กัน บางบ้านที่ไม่มีเวลาให้กัน ก็เริ่มตกแต่งต้นคริสต์มาส วันก่อนมีโอกาสได้เดินซื้อของตกแต่งคริสต์มาส ก็พาหลาน ๆ ไป ก็เห็นคนคนนี้ช่วยกันซื้อ รู้สึกว่าเห็นการที่ทุกคนมารุมแต่งต้นคริสต์มาสก็น่ารักมาก และอยากให้เป็นแบบนั้นในทุกเรื่อง อาจใช้เวลาคริสต์มาสเป็นจุดเริ่มต้น และปีใหม่ที่จะถึงนี้อะไรที่ผ่านมา แล้วมันแย่ ๆ ก็ทิ้งไป ที่สำคัญบางคนรู้สึกว่าเมื่อไหร่เศรษฐกิจจะดีขึ้น แต่แพรวรู้สึกอีกย่างว่าไม่ว่าโมเม้นต์ไหนที่เรารู้สึกแย่ มันไม่โอเค ขอให้เราเจอความสุขในโมเม้นต์นั้น ๆ ด้วย ขอให้เราอยู่ได้ในทุกฤดูกาลแม้จะเป็นฤดูกาลที่เราไม่ชอบ แต่ก็ขอให้มีความสุขค่ะ และฝากเพลงระบายด้วยนะคะ ฮีลใจก่อนที่เราจะสตาร์ทรอยยิ้ม และเอาเพลงนี้เป็นที่ปลดปล่อยออกไป หรือใครเห็นคนข้าง ๆ ไม่โอเค ก็ให้เขาเป็นของขวัญสำหรับช่วงคริสต์มาสและปีใหม่นี้ก็ได้ค่ะ

ไม่ว่าใครจะนับถือศาสนาอะไร แต่ก็เชื่อว่าทุกคนจะสัมผัสได้ถึง “ความรักและสันติสุข” รวมทั้ง “ความหวัง” จาก “พระเยซู” ที่อบอวลตลอดบทสัมภาษณ์นี้ พร้อมร่วมฉลองเทศกาลแห่งความสุขนี้ไปด้วยกัน Merry Christmas ขอพระเจ้าอวยพรทุกคน